อุ้มท้องมานาน
9 เดือน พอถึงกำหนดคลอด แหม่...คุณแม่ท้องแรกคงตื่นเต้นหนักมาก
เพราะไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน ข้อมูลที่นำมาฝากต่อไปนี้น่าจะช่วยให้คุณแม่มือใหม่คลายความกังวลใจลงได้บ้างไม่มากก็น้อยนะคะ
รู้ยัง...วันคลอด
เมื่อคุณแม่ไปฝากครรภ์
คุณหมอจะถามเรื่องประจำเดือนครั้งสุดท้ายเพื่อคำนวณอายุครรภ์และกำหนดคลอด หากจำได้แม่นยำการคำนวณก็จะไม่สับสนหรือผิดพลาด
กำหนดคลอดเค้าคำนวณกันยังไง?
วิธีที่ง่ายที่สุด ใช้วิธีการนับเดือนซึ่งจะสามารถบอกกำหนดคลอดอย่างคร่าวๆ
มี 2 แบบ คือ
แบบแรก จะเริ่มนับตั้งแต่ประจำเดือนขาด
โดยนับเป็นเดือนที่ 1
จนกระทั่งครบกำหนดคลอดคือ 9 เดือน
แบบที่สอง จะเริ่มนับตั้งแต่วันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายถือเป็นเดือนที่
1 และนับต่อไปจนกระทั่งครบ 10 เดือน (40 สัปดาห์)
วิธีคำนวณแบบละเอียด สามารถระบุวันคลอดได้ใกล้เคียงที่สุด แต่คุณแม่ต้องจำวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายให้แม่น
คือต้องระบุได้เลยว่าวันที่เท่าไหร่ เดือนอะไร จากนั้นก็เอาวันดังกล่าวเป็นหลักบวกไปข้างหน้า
7 วัน แล้วนับย้อนหลังไป 3 เดือนก็จะได้กำหนดวันคลอด เช่น ถ้าวันแรกของประจำเดือนครั้งสุดท้ายคือวันที่
10 กันยายน เมื่อบวกไปอีก
7 วันก็จะเป็นวันที่ 17 แล้วนับย้อนไป 3
เดือน ก็จะเป็นเดือนมิถุนายน กำหนดคลอดจึงครบในวันที่ 17 มิถุนายนของปีถัดไป
รู้กำหนดคลอดกันแล้วนะ...ทีนี้ก็เตรียมนับถอยหลังกันเล้ย
โอ๊ย...โอ๊ย...เจ็บครรภ์คลอด
มันมาแน่ๆ
อาการเจ็บครรภ์คลอดในช่วงเดือนท้ายๆ ทั้งเจ็บจริง เจ็บหลอก
เจ็บหลอกเป็นไง เป็นการเจ็บเตือนเพื่อเตรียมตัวสำหรับการคลอดที่จะตามมา
พบได้หลังตั้งครรภ์ 7
เดือนขึ้นไป โดยมดลูกจะมีการบีบรัดตัว
หดตัวเป็นก้อนแข็งเป็นครั้งคราว แต่ไม่มีการเจ็บท้อง การเจ็บหลอกจะมีไปจนถึงระยะก่อนคลอดประมาณ
2 อาทิตย์ หลังจากนั้นมดลูกจะบีบรัดตัวแรงขึ้น
แต่ยังคงไม่เป็นจังหวะ อาการเจ็บเกิดทางหน้าท้อง
และไม่สัมพันธ์กับการบีบรัดตัวของมดลูก อาจเกิดขึ้นทันทีและหายไปทันที บางครั้งอาจเจ็บนาน
3-4 นาที แต่ปากมดลูกยังไม่เปิด
เจ็บจริงเป็นไง มดลูกจะบีบรัดตัวรุนแรงจนรู้สึกเจ็บ
โดยเริ่มเจ็บจากทางด้านหลังส่วนล่างบริเวณกระเบนเหน็บ แล้วร้าวมาทางด้านหน้า จากเจ็บน้อย
ๆ แล้วค่อย ๆ เพิ่มขึ้น ระยะเจ็บและระยะพักเป็นจังหวะสม่ำเสมอและถี่ขึ้นเรื่อย ๆ
ขณะเดียวกันปากมดลูกก็จะขยายตัวออกและผนังปากมดลูกจะบางลง ถ้ามีอาการเหล่านี้ด้วย เช่น
มีมูกปนเลือดออกมาจากช่องคลอด, ถุงน้ำคร่ำแตก แสดงว่าใกล้คลอดแล้วล่ะ
ให้เก็บของรีบบึ่งไป รพ. เลย
เมื่อคุณแม่...พร้อมคลอด
ช้าเร็วคุณแม่ก็ต้องมาถึงจุดนี้
ส่วนจะลงเอยด้วยวิธีการคลอดแบบไหนเป็นอีกเรื่อง บางทีคุณแม่อยากคลอดปกติ
คลอดตามธรรมชาติ แต่เสี่ยงเป็นอันตรายต่อตัวแม่หรือตัวลูก ก็อาจต้องผ่าคลอด
ตรงนี้คุณหมอจะเป็นคนตัดสินใจเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุดค่ะ
สำหรับการคลอดปกติ
เมื่อครบกำหนดคลอดกระบวนการคลอดจะเกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ คือคุณแม่จะมีอาการเจ็บครรภ์จากการที่มดลูกบีบรัดตัวเพื่อผลักดันทารกให้เคลื่อนตัวออกมา
แต่หากคุณแม่ไม่มีแรงเบ่งหรือมีภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้ไม่สามารถออกแรงเบ่งคลอดได้
เช่นเป็นโรคหัวใจ หรือจำเป็นต้องรีบให้ทารกคลอดออกมาไม่งั้นอาจเป็นอันตราย
ก็อาจต้องใช้เครื่องมือช่วยในการคลอด ซึ่งเครื่องมือช่วยคลอดที่ได้รับความนิยมมี 2 ชนิดคือ
(1) คีมช่วยคลอด คุณหมอจะสอดคีมเข้าไปด้านข้างของศีรษะทารกทีละข้าง แล้วดึงทารกออกมาอย่างนุ่มนวล หลังคลอดอาจพบรอยแดงที่ศีรษะบริเวณคีมคีบ แต่จะหายไปเองภายใน 2-3 วัน
(2) เครื่องดูดสุญญากาศ คุณหมอจะใช้โลหะกลมรูปร่างคล้ายถ้วยเล็ก
ๆ ดูดกับหนังศีรษะทารกแล้วดึงให้ทารกเคลื่อนต่ำลงมาพร้อมกับแรงเบ่งของแม่ หลังคลอดศีรษะทารกอาจนูนเป็นลักษณะคล้ายจุก ซึ่งจะหายไปเองใน 1-2 วัน
เห็นสภาพศีรษะลูกแล้วก็อย่าบ่อน้ำตาแตกกันล่ะ
การใช้เครื่องมือช่วยคลอดเป็นเรื่องปกติที่ทำกันทั่วไป ยังไงก็ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยไว้ก่อน
เรื่องสวยเรื่องงามเอาไว้ทีหลังค่ะ
ผ่าตัดคลอด จริงๆ
แล้วถ้าคลอดปกติได้คุณหมอก็อยากให้คุณแม่คลอดน้องเองค่ะ
ก็อย่างที่บอกว่าการคลอดเป็นเรื่องธรรมชาติ ระยะพักฟื้นจึงสั้นกว่าผ่าตัดคลอดเยอะ
แต่ถ้าปัจจัยไม่เอื้อ คลอดเองแล้วเสี่ยง คุณหมอก็จะแนะนำให้ผ่าตัดทารกออกมาทางหน้าท้อง
กรณีที่จะจำเป็นต้องผ่าคลอด เช่น คลอดยากเพราะเกิดการติดขัด, มีภาวะรกเกาะต่ำ,
ทารกอยู่ในภาวะวิกฤติ หรือมีภาวะเสี่ยงอื่นๆ เช่น
มีแผลเป็นที่ผนังมดลูก, ตกเลือดก่อนคลอด, คุณแม่มีความดันโลหิตสูงชนิดรุนแรง เป็นต้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น