เขียนกันมาถึงตอนนี้
ถ้าไม่พูดถึงโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ คงต้องเอาหัวโขกฝา รับผิดเต็มๆ ยิ่งสถิติเห็นกันอยู่ทนโท่ว่าโรคนี้เป็นสาเหตุการตายมากเป็นอันดับหนึ่งในบรรดาโรคหัวใจทั้งหมด
ยิ่งไม่พูดถึงไม่ได้ แต่ขนาดตอกย้ำกันแทบจะทุกสื่อยังงี้ก็ยังเห็นข่าวคนตายปุบปับด้วยโรคนี้เยอะแยะ
บางคนอยู่ดีๆ ใช้ชีวิตปกตินี่แหละ ไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองเป็น จู่ๆ แน่นหน้าอกเป็นลมล้มหงายตึงลาโลกไปซะงั้นก็มี
ใครอ่านแล้วชักหนาวๆ ร้อนๆ กลัวโรคหลอดเลือดหัวใจตีบขึ้นมา
ถ้าไปค้นหาข้อมูล แล้วไปเจอะเจอคำว่า โรคหัวใจขาดเลือด ก็ไม่ต้องต๊กกะใจ มันก็คือโรคเดียวกันนั่นแหละ
แล้วไอ้โรคน่ากลัวโรคนี้มันเกิดได้ยังไง เรื่องมันก็มีอยู่ว่า...หลอดเลือดหัวใจของเราที่เลือดเคยไหลไปเลี้ยงหัวใจอย่างคล่องตัวนั้น
มันดั๊นไม่ไหลปรู๊ดปร๊าดเหมือนเก่า เหตุก็จากมีการก่อตัวของ plaque ขึ้นที่ผนังหลอดเลือด แล้วไอ้ plaque ที่ว่านี้จะค่อยๆ
พอกสะสมหนาขึ้นเรื่อยๆ จนช่องทางเดินของหลอดเลือดตีบแคบลงหรือถึงขั้นอุดตัน ส่งผลให้หัวใจขาดเลือดได้
อ่านถึงตรงนี้
เชื่อว่าต้องมีคนตะหงิดๆ ว่า plaque คืออะไร มาเป็นภาษาปะกิดยังงี้ ง้ง
งง อธิบายง่ายๆ ก็คือ เมื่อการทำงานของเยื่อบุผนังหลอดเลือดหัวใจเสียไปหรือเสื่อมสภาพลง
ก็จะทำให้เกิดการสะสมของไขมันในผนังหลอดเลือด เกิดเป็น plaque ขึ้น คล้ายกับการเกิดสนิมขึ้นในท่อประปา ทำให้เลือดไม่สามารถไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจได้สะดวกนั่นเอง
แล้วอะไรบ้างที่เป็นปัจจัยเสี่ยงให้เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้
ไปดูกันค่ะ
เริ่มตั้ง “เพศ” โรคนี้เพศชายมีโอกาสเป็นมากกว่าเพศหญิงถึง 3-5 เท่า ผู้ชายพออายุ
40 ปีขึ้นไปโอกาสเจอก็เริ่มแล้วล่ะ แต่ผู้หญิงโอกาสเจอจะยืดออกไปกว่าคืออายุ 50
ปีขึ้นไปแล้ว
“กรรมพันธุ์”
ใช่จะยอมน้อยหน้า ถ้าคุณมีคนในครอบครัวเป็นโรคนี้ก่อนวัยอันควร
ย่อมเสี่ยงกว่าคนที่เค้าประวัติขาวสะอาด ยิ่งถ้าเป็นผู้ชายแถมบวกประวัติทางพันธุกรรมเข้าไปอีก
ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเป็น 2-20 เท่าเลยทีเดียว
“ไขมัน”
นี่ล่ะตัวดีนักแล เพราะโอกาสเป็นจะแปรตามระดับคอเลสเตอรอลในเลือด อย่างคนที่มีไขมันในเลือดสูง
(มากกว่า 300
มิลลิกรัม/เดซิลิตร) มีโอกาสเป็นมากกว่าคนที่มีไขมันในเลือดต่ำ
(ต่ำกว่า 175 มิลิลิกรัม/เดซิลิตร) ถึง 3-4 เท่าตัว
มี “ภาวะความดันโลหิตสูง”
สูบบุหรี่ี เรียกว่าเป็น “สิงห์อมควัน” ตัวฉกาจ
เป็น
“เบาหวาน”
อ้วน
ไม่ออกกำลังกาย
การกิน – ดื่ม เช่น ชอบกินอาหารที่มีไขมันสูง, เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ไม่เคยขาด
เครียดเป็นประจำ
นี่เอาปัจจัยเสี่ยงแบบหลักๆ
มาเลย ถ้าใครมีหลายๆข้อ...ก็เสี่ยงเป็นเยอะกว่าชาวบ้านเค้าล่ะ ดูๆ
ไปแล้วก็มีหลายข้อที่ตัวเราเองสามารถปรับเปลี่ยนได้
ถ้าทำได้นี่โอกาสเสี่ยงลดลงไปเยอะเลยนะ แต่มีคนส่วนน้อยที่จะตระหนักตรงนี้ ส่วนใหญ่ก็จะใช้ชีวิตวนเวียนอยู่กับวังวนเดิม
ๆ จนกว่าจะมีอาการมาสะกิดให้ตระหนกแล้วนั่นแหละ
อาการของคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบเป็นยังไง เป็นระยะแรกอาจยังไม่มีอาการ
ด้วยหลอดเลือดยังตีบไม่มากพอที่จะทำให้เกิดอาการ ก็ใช้ชีวิตเย้วๆ ลั้ลลากันต่อไป
แต่ถ้าหลอดเลือดตีบแคบมากขึ้นจนเลือดไปเลี้ยงหัวใจไม่เพียงพอ ทีนี้อาการจะมาล่ะ
เช่น อาการเจ็บหน้าอก แน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย มักเจ็บร้าวไปที่แขน คอ ขากรรไกร
หรือหลัง รวมถึงมีอาการเหงื่อออกหรือใจสั่นร่วมด้วย แรกๆ ก็อาจเกิดอาการขณะออกกำลังกาย
หรือ ทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงหนักๆ แต่ถ้าเป็นเยอะขั้นรุนแรงก็อาจเจ็บเองโดยที่ยังไม่ได้ออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมอะไรที่หนักๆ
เลยด้วยซ้ำ
ปกติคนไข้ที่เป็นโรคนี้อยู่
ก็จะคอยสังเกตอาการเจ็บหน้าอกที่อาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา และจะพกยาขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจชนิดอมใต้ลิ้นหรือชนิดสเปรย์
(Spray)
ติดตัวไว้เสมอ เผื่อว่าเวลามีอาการเกิดขึ้นจะได้หยิบฉวยมาอมใต้ลิ้นหรือพ่นได้ทันท่วงที
แต่บางคนไม่รู้ตัวว่าเป็นนี่สิ คือ ไม่เคยตรวจ ไม่เคยเอ๊ะ คิดว่าเป็นเพราะเครียด
พักผ่อนไม่พอ ออกกำลังกายหักโหมไป บลาๆๆๆ ก็จะไม่ใส่ใจ
จนบางทีอาการเกิดแบบปุบปับช่วยไม่ทัน ยังงี้อันตรายและน่าเสียดายค่ะ
ถ้ามีอาการแพลมๆ มาให้สงสัย
หรือพิจารณาสี่ห้าตลบแล้วว่าปัจจัยเสี่ยงมาครบ ถึงไม่ครบก็เกือบๆล่ะ ก็ควรไปพบหมอตรวจสุขภาพหัวใจดูบ้าง
การตรวจมีตั้งแต่ขั้นพื้นฐานยันแอ๊ดวานซ์ จะได้ฟันธงได้ถูกว่าเป็น – ไม่เป็นยังไง
หรือเป็นอย่างอื่น ถ้าแบบชัวร์สุดๆ ก็อาจต้อง “ฉีดสีดูหลอดเลือดหัวใจ”
ไปเลย วิธีนี้จะต้องสอดสายตรวจขนาดเล็กผ่านเข้าทางหลอดเลือดแดงที่ข้อมือหรือขาหนีบไปที่หลอดเลือดหัวใจ
จากนั้นฉีดสารทึบรังสีจำนวนเล็กน้อยเข้าไปแล้วเอกซเรย์บันทึกภาพของหลอดเลือดหัวใจแต่ละเส้นไว้
ซึ่งถ้ามีหลอดเลือดตีบก็จะสามารถตรวจพบได้อย่างชัดเจน
หากตรวจแล้วเป็นขึ้นมาจริงๆ ก็ขอให้ตั้งสติ เพราะโรคนี้มีทางรักษา
ไม่ใช่หมดทางเยียวยา อย่าเพิ่งหมดหวังหมดอาลัยตายอยาก ก่อนอื่นเลยให้เลี่ยง ละ
เลิก ไอ้ปัจจัยเสี่ยงทั้งหลายแหล่ก่อน ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำของคุณหมอ ส่วนการรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบมีวิธีหลักๆ ได้แก่
การรักษาด้วยยา วิธีนี้จะใช้ในคนที่เป็นไม่มาก คุณหมอจะให้ยาช่วยให้หลอดเลือดขยายตัว
ซึ่งจะมีทั้งชนิดกินเป็นประจำ และชนิดอมใต้ลิ้น เช่น ไนโตรกลีเซอรีน (nitroglycerine) ยาอมใต้ลิ้นนี้คนไข้จะต้องพกติดตัวตลอดเวลา และใช้อมเมื่ออาการเจ็บหน้าอกกำเริบจะช่วยให้หายเจ็บหน้าอกได้ทันที
แต่ยาตัวนี้อาจมีผลข้างเคียงอย่างอาการปวดหัวได้ นอกจากนั้นก็มียาต้านเกร็ดเลือดเพื่อป้องกันการเกิดลิ่มเลือดอุดกั้นหลอดเลือดหัวใจ
เช่น แอสไพริน ยาควบคุมโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง, เบาหวาน,
ไขมันในเลือดสูง
การขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูน วิธีนี้ขั้นตอนจะคล้ายฉีดสีหลอดเลือดหัวใจคือจะใส่สายสวนไปยังหลอดเลือดหัวใจ
แต่สายนำที่ใช้จะมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางด้านในใหญ่กว่าสายตรวจที่ใช้ในการฉีดสี เมื่อปลายสายนำอยู่ในหลอดเลือดหัวใจแล้ว คุณหมอจะสอดเส้นลวดขนาดเล็กกว่าเส้นผมผ่านสายนำเข้าไปจนกระทั่งปลายเส้นลวดผ่านเลยจุดตีบแคบของหลอดเลือดหัวใจ
จากนั้นจะใช้เส้นลวดเป็นแกนช่วยนำสายชนิดพิเศษที่มีบอลลูนติดอยู่ตรงปลาย ใช้ภาพเอกซเรย์ที่เห็นบนจอช่วยในการวางตำแหน่งบอลลูนให้ตรงกับจุดที่มีการตีบแคบของหลอดเลือด
แล้วใช้แรงดันทำให้บอลลูนกางออก แรงดันของบอลลูนจะผลักรอยตีบของหลอดเลือดหัวใจให้เปิดกว้างทำให้เลือดไหลผ่านได้สะดวกขึ้น
เสร็จแล้วจึงดึงบอลลูนออก
การขยายหลอดเลือดด้วยขดลวด ถ้าทำบอลลูนไปแล้วรอยตีบยังขยายได้ไม่กว้างพอ
คุณหมอจะใส่ขดลวด เพื่อลดโอกาสเกิดการตีบซ้ำของหลอดเลือด โดยจะนำสายสวนที่มีขดลวดอยู่ที่ปลายสายใส่เข้าไปยังบริเวณที่เคยตีบในลักษณะเดียวกับที่ใส่สายบอลลูน
และขยายขดลวดให้ขดลวดกางออกไปสัมผัสและยึดติดกับผนังหลอดเลือด
การผ่าตัดทำบายพาส ถ้าไม่สามารถขยายหลอดเลือดด้วยบอลลูนหรือขดลวดได้
คุณหมอก็จะหันมาเลือกวิธีนี้แทน โดยหลอดเลือดที่จะนำมาใช้ต่อหลอดเลือดหัวใจที่ตีบจะใช้หลอดเลือดทางผนังหน้าอก
แขน หรือขา ของคนไข้เอง คนไข้ต้องนอน รพ. ประมาณ
7 วัน และพักฟื้นประมาณ 1 เดือน
ทีนี้คงจะเก็ทไอ้คำที่ได้ยินกันบ๊อย บ่อย อย่าง บอลลูน ขดลวด
บายพาส กันบ้างแล้วนะคะ หลังจากรักษาตัวแล้วก็ต้องดูแลตัวเองต่อด้วย
ยังต้องเคร่งครัดที่จะเลี่ยง ละ เลิก พวกปัจจัยเสี่ยงต่างๆ กินยาตามหมอสั่งอย่างเคร่งครัด
พกยาไนโตรกลีเซอรีนอมใต้ลิ้นติดตัวไว้เสมอ และหมั่นสังเกตอาการผิดปกติ เช่น
แน่นหน้าอก หายใจติดขัด หายใจเหนื่อย เหงื่อแตก หากมีอาการให้รีบอมยา แล้วหาหมอโดยด่วน