ใครที่คิดว่าจะขจัดไขมันต้องใช้อะไรร้อน ๆ มาสลาย เปลี่ยนความคิดของคุณซะ เอ๊าท์แล้วจ้า! สลายไขมันด้วยความเย็น หรือชื่อภาษาอังกฤษเก๋ ๆ ว่า CoolSculpting มาแรงแซงโค้ง ณ เพลานี้ ฉะนั้นทำความรู้จักไว้ซะ เดี๋ยวจะตกเทรนด์!!!
นวัตกรรมนี้มายังไงน่ะเหรอ?
ต้องขอบคุณความช่างสังเกตของคุณหมอจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 2 ท่าน ที่พบว่าเด็กๆ ที่ชอบทานไอติมแท่งมักเกิดรอยบุ๋มของชั้นไขมันที่แก้มแบบลักยิ้ม
ผนวกกับภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่งในคนที่ออกไปขี่ม้าในช่วงอากาศหนาวจัดแล้วไม่ใส่เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ป้องกันความเย็นมากพอ
ก็จะเกิดผื่นจากการอักเสบของชั้นไขมันบริเวณต้นขาส่วนบนด้านนอกที่ปะทะกับความเย็น ภาวะอย่างนี้คนเมืองร้อนอย่างบ้านเราไม่เคยเห็น
แต่บ้านเค้าอากาศมันหนาวจัดไงก็เลยเจอ พอมีข้อมูลอย่างนี้ฝรั่งเค้าก็ไม่ปล่อยผ่าน จัดแจงเอาไปต่อยอดกับความรู้เดิมที่ว่า
“เซลล์ไขมันมีความไวต่อการโดนทำลายด้วยความเย็นมากกว่าเซลล์อื่นๆ” แล้วทำการศึกษาต่อบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าความเย็นในระดับที่เหมาะสมและควบคุมได้สามารถนำไปสู่นวัตกรรมในการลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง
สำเร็จเป็นนวัตกรรมสลายไขมันที่มีประสิทธิภาพจนต้องนำมาบอกต่อนี่แหละ
ถ้าคุณผู้หญิงมีไขมันสะสมใต้ผิวหนังเฉพาะบริเวณ
ยิ่งบริเวณที่เห็นเป็นก้อน หรือเป็นชั้นไขมันชัดเจน แนะนำ CoolSculpting ค่ะ ถามว่าถ้าจะรักษาด้วย สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ อื่น ๆ ทำได้มั้ย คำตอบคือ
ได้ แต่ขอบอก CoolSculpting เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า
สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ อื่นๆ
หลักการต่างผลลัพธ์ก็ย่อมต่าง สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ จะใช้หัวนวด หรือหัวดูด ปล่อยพลังงานเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันมีการสลายไป
แต่ไม่ถึงขนาดทำให้เซลล์ไขมันตาย พูดง่ายๆก็คือเพียงกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญได้เร็วขึ้น
ทำให้ไขมันมีขนาดเล็กลง ขณะที่ CoolSculpting จะใช้หัวดูดดูดทั้งผิวหนังและไขมันสะสมใต้ผิวหนังแล้วปล่อยความเย็นไปทำลายเซลล์ไขมัน
เรียกว่า เน้นทำลายเซลล์ไขมัน หลังทำพบว่าเซลล์ไขมันมากถึง 20-25%
จะถูกทำลาย ซึ่งเซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะค่อย
ๆ ถูกกำจัดออกผ่านกระบวนการตามธรรมชาติ
เห็นผลเร็วกว่า ขณะที่
สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ อื่น ๆ ต้องทำต่อเนื่องเป็นคอร์สถึงจะเริ่มเห็นผล CoolSculpting กลับเห็นผลการรักษาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา แล้วถ้ายังไม่พอใจผลก็มาทำซ้ำในตำแหน่งเดิมที่ยังมีไขมันสะสมได้อีก
โดยเซลล์ไขมันจะลดลง 20-25% ในแต่ละครั้งที่ทำ แต่อย่าใจร้อน ถ้าจะรักษาในตำแหน่งเดิม
ควรเว้นระยะห่างจากครั้งก่อนอย่างน้อย 2 เดือน
สำรวจตัวเอง! ถ้ามีไขมันสะสมในตำแหน่งต่อไปนี้ CoolSculpting ช่วยคุณได้
- ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องส่วนบนหรือใต้อก
- ไขมันหน้าท้องส่วนล่าง (ท้องน้อย)
- ไขมันสะสมข้างลำตัวเห็นเป็นชั้นหรือก้อนเหนือ/ใต้แนวบรา
- ไขมันบริเวณเอว
- ไขมันบริเวณต้นขาด้านในที่เป็นก้อนและทำให้ผิวเสียดสีกันเวลาเดินจนเกิดเป็นแผล
- ไขมันที่ท้องแขน
การรักษาด้วย CoolSculpting จะใช้เวลาต่อเนื่อง 60 นาทีต่อหนึ่งพื้นที่ของหัวดูด ขณะทำจะรู้สึกเย็น ตึง เจ็บเล็กน้อย
และค่อย ๆ ชาในบริเวณที่ทำ หลังทำผิวหนังจะเย็น แดง อาจเกิดรอยช้ำและแข็งนูนได้
ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2 สัปดาห์ ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคืออาการคันหรือรู้สึกว่าผิวแห้งตึงมากกว่าปกติ
ควรทาครีมให้ความชุ่มชื้นและลดการขัดถูหรือระคายเคืองต่อผิว อาการชาบริเวณผิวหนังที่ทำการรักษาเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ในช่วง
4 – 6 สัปดาห์แรก ซึ่งจะค่อย ๆ หายเป็นปกติ สำหรับผลการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างจะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่
3 สัปดาห์ และให้ผลสูงสุดหลังการรักษา 3-4 เดือน
ข้อจำกัดในการทำก็มีอยู่บ้าง ซึ่งก่อนรักษาแพทย์จะประเมินสภาพของคนไข้ทุกคนอยู่แล้ว
ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องกังวล การรักษาด้วย CoolSculpting ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา
(FDA) ทั้งของสหรัฐและไทย การใช้หัวดูดก็ไม่ทำให้เกิดบาดแผลใดๆ
แถมท้ายอีกนิด...หลังทำเสร็จสามารถกลับไปปฏิบัติภารกิจประจำวันได้ทันที
เจ๋งอย่างนี้ขอส่งท้ายด้วยคำว่า
ว้าว ไม่ว่ากันนะคะ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น