วันพฤหัสบดีที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2558

รีแพร์...ใช่แค่ทำสาว


คนส่วนใหญ่มักจะรู้จัก รีแพร์ ว่าคือ การผ่าตัดทำสาว ผู้หญิงคนไหนไปทำรีแพร์ มักถูกเหมาว่าต้องไปผ่าตัดให้ช่องคลอดกระชับขึ้นเพื่อหวังผลกับกิจกรรมอย่างว่าถ่ายเดียว จริงๆ แล้วถ้าคุณผู้หญิงมีปัญหาช่องคลอดหย่อนยานจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน คุณหมอสูติจะแนะนำให้ทำรีแพร์เช่นกันค่ะ



แล้วจะรู้ได้ไงว่ามีปัญหาช่องคลอดหย่อนยานจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน 
ไม่ยากส์ค่ะ คนไข้ที่มีปัญหานี้มักจะมีปัญหาอื่นตามมาที่ทำให้ดำเนินชีวิตได้ไม่ปกติสุขนัก เป็นต้นว่า เจ็บปวดขณะประกอบกิจอย่างว่า บางคนมีมดลูกเคลื่อนย้อยลงมาในช่องคลอด หรือไม่ก็มีปัญหาปัสสาวะเล็ด ซึมหรือกลั้นไม่อยู่ระหว่างการทำงาน ออกกำลังกาย หรือแม้แต่ในยามที่ไอหรือจาม 

ซึ่งปัญหาปัสสาวะเล็ดนี่แหละที่มักทำให้คนไข้วิ่งโร่มาพบแพทย์ ลองนึกสภาพดูค่ะ จะขยับจะทำอะไรทีก็มีปัสสาวะเล็ด รั่ว ซึม เป็นใครจะไม่เครียดไม่เซ็งมั่ง ซึ่งถ้ามาพบหมอแล้วมีข้อบ่งชี้ทางการแพทย์ชัดๆ อย่างนี้ หมอก็จะแนะนำให้ทำรีแพร์ ถึงไม่อยากทำหมอก็จะพยายามเกลี้ยกล่อมให้ทำ ทั้งนี้ก็เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นของคนไข้เอง ไม่ใช่ว่าเอะอะก็จะผ่าๆ ท่าเดียว อยู่ดีๆ คงไม่มีคุณหมอท่านไหนอยากจับใครมาผ่าให้เจ็บตัวให้เสี่ยงโดยไม่มีข้อบ่งชี้ที่ควรทำหรอกค่ะ



เอาล่ะ เมื่อรู้ว่ารีแพร์ไม่ได้แค่ผ่าตัดทำสาว แต่ช่วยแก้ปัญหาช่องคลอดหย่อนยานจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนได้ด้วย งั้นเรามารู้จักภาวะนี้และการรักษาด้วยการทำรีแพร์กันค่ะ

ช่องคลอดหย่อนยานจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนเกิดได้ยังไง

        ·  เกิดจากการคลอดบุตร
        ·  สาเหตุอื่นๆ เช่น ยกของหนัก, มีภาวะท้องผูกเรื้อรัง เป็นต้น



ช่องคลอดหย่อนยานจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อนมี 3 แบบ ได้แก่

แบบ 1 
มีการหย่อนของช่องคลอดเป็นถุงด้านหน้าซึ่งจะมีกระเพาะปัสสาวะหย่อนตาม เรียกว่า กระเพาะปัสสาวะหย่อน หรือ Cystocele

แบบ 2  
มีการหย่อนเป็นถุงด้านหลังมีลำไส้ใหญ่ส่วนทวารหนักหย่อนตาม เรียกว่า ลำไส้หย่อน หรือ Rectocele

แบบ 3 
มีทั้งแบบที่ 1 และ 2 พร้อมกัน นั่นคือ มีการหย่อนยานของช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง



หย่อนแบบไหน รีแพร์ ก็แก้ได้

         ·   สมัยนี้การทำรีแพร์คุณหมอสามารถเลือกผ่าตัดโดยใช้มีดผ่าตัดหรือจะใช้เลเซอร์ก็ได้


       ·  การผ่าตัดมี 2 วิธี ได้แก่
       
       วิธีแรก เป็นการผ่าตัดแบบเดิมที่คุณหมอยังคงใช้อยู่ทั่วไป วิธีการคือจะใช้วิธีการเย็บติดเพื่อรวบเนื้อเยื่อเข้าด้วยกัน
       วิธีที่สอง เป็นเทคนิคใหม่ในการรักษา โดยการนำเอาแผ่นพยุงตาข่ายพิเศษ (mesh) แปะหรือฝังในผนังช่องคลอด ซึ่งพบว่าประสบความสำเร็จในการแก้ไขช่องคลอดหย่อนยานสูงถึง 95%


คุณหมอจะเป็นคนเลือกวิธีการผ่าตัดว่าแบบไหนถึงจะเหมาะกับปัญหาของคนไข้ 
อย่างคนไข้ที่มีการหย่อนคล้อยของผนังช่องคลอดส่วนหน้า (Cystocele) ปัจจุบันคุณหมอไม่นิยมผ่าตัดแก้ไขแบบดั้งเดิมเนื่องจากมีอัตราความล้มเหลวถึง 25-60% แต่จะหันไปใช้เทคนิคการใช้แผ่นพยุงตาข่ายพิเศษ (mesh) แทน ซึ่งหลังทำคนไข้จะไม่มีความรู้สึกว่ามีแผ่นพยุงอยู่ในช่องคลอดเลย 
ส่วนคนไข้ที่มีผนังด้านหน้าของทวารหนักยื่นเป็นถุงเข้าไปทางช่องคลอด  (Rectocele) จะเลือกผ่าตัดเย็บแบบดั้งเดิม หรือจะผ่าตัดรูปแบบใหม่ที่มีการนำตาข่ายพิเศษมาใช้ก็ได้



กรณีคนไข้ที่มีการหย่อนยานของช่องคลอดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง (แบบ 3) คุณหมอจะผ่าตัดแบบดั้งเดิมโดยเอาผนังช่องคลอดทั้งด้านหน้า-ด้านหลังและเนื้อเยื่อส่วนเกินที่ยื่นเข้าไปในช่องคลอดออกไป และยังตกแต่งกระเพาะปัสสาวะและลำไส้ส่วนปลายที่หย่อนคล้อยให้ด้วย แต่ถ้าอุ้งเชิงกรานหย่อนรุนแรงมากอาจต้องใช้แผ่นพยุงตาข่ายพิเศษเพื่อช่วยให้อวัยวะในอุ้งเชิงกรานกลับเข้าสู่ตำแหน่งเดิมได้ดีขึ้น



ทำรีแพร์แก้ไขช่องคลอดหย่อนยานจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน...ไม่ยุ่งยาก

การทำรีแพร์แก้ไขช่องคลอดหย่อนยานจากภาวะอุ้งเชิงกรานหย่อน หลังทำต้องนอนพักฟื้นที่ รพ. อย่างน้อย 4 วัน ไม่ได้กลับบ้านได้เลยอย่างการทำรีแพร์ให้ช่องคลอดกระชับหรือผ่าตัดทำสาว การผ่าตัดก็ยุ่งยากกว่านิดหน่อย คือคนไข้จะถูกวางยาสลบหรือให้ยาชาทางไขสันหลัง  และใช้เวลาทำนานกว่าคือประมาณ 2 ชั่วโมง


ส่วนการเตรียมตัวก่อนทำและการดูแลหลังทำ ไม่แตกต่างจากการผ่าตัดทำสาว
  • บอกสามีก่อนทำ
  • งดน้ำงดอาหารก่อนทำอย่างน้อย 6 ชั่วโมง
  • ควรทำช่วงที่ประจำเดือนหมดไม่เกิน 1 อาทิตย์ ป้องกันการติดเชื้อและแผลอักเสบ
  • ก่อนทำควรตรวจภายใน ตรวจมะเร็งปากมดลูกให้เรียบร้อย
  • งดเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 45 วัน 
  • เลี่ยงยกของหนักหรือเดินมาก



 รู้แล้วนะว่า รีแพร์ มีดีกว่าแค่เรื่องบนเตียงนะจ๊ะ






ขอบคุณข้อมูล & ภาพประกอบ รพ.ยันฮี

วันพฤหัสบดีที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2558

ช่องคลอดหลวม

ปัญหาช่องคลอดหลวม หย่อนยาน หรือกว้างผิดปกติ คุณผู้ชายมักออกอาการเซ็ง บางคนบ่นเรื่องไม่กระชับเวลามีอะไรกันทำเอาภรรยาเสียเซลฟ์ไปเลยก็มี


ปัญหาช่องคลอดหลวม เกิดจาก

  • ผ่านการคลอดบุตรมาแล้วหลายคน
  • อยู่กินกับสามีมานานผ่านการใช้งานมามาก
  • ผู้หญิงที่คลอดโดยหมอตำแยแล้วไม่ได้เย็บซ่อมช่องคลอดที่ฉีกขาด ซึ่งก็ไม่รู้ว่าสมัยนี้ยังมีกรณีนี้อีกเยอะมั้ย เพราะส่วนใหญ่ก็หอบหิ้วกันไปคลอดในสถานพยาบาลที่มีหมอ มีพยาบาลกันทั้งนั้น


ถ้าคุณไม่อยากทนฟังสามีบ่นไม่กระชับเวลาทำกิจกรรมอย่างว่า แนะนำปรึกษาคุณหมอสูติค่ะ ปัญหาช่องคลอดหลวมแก้ไขได้ด้วยการทำ รีแพร์ ทำให้ช่องคลอดที่หย่อนยานกลับมาฟิตกระชับ เซ็กซ์สดใสซาบซ่าเหมือนเดิม



คำว่า “รีแพร์” หรือที่คนส่วนใหญ่มักจะเรียกว่า การผ่าตัดทำสาว ถ้าไม่ปิดหูปิดตาคงจะต้องเคยได้ยินคำๆ นี้กันมาบ้างล่ะ คำนี้ฮือฮาพอสมควรเพราะช่วยกระชากวัยให้ช่องคลอดกลับมาเป็นสาวอีกครั้ง

สำหรับการทำรีแพร์สมัยนี้ ไม่ได้ใช้วิธีลงมีดอย่างเดียวเหมือนสมัยก่อนแล้วนะ มีการพัฒนาเทคนิคโดยนำเลเซอร์มาใช้ผ่าตัดด้วย ข้อดีของเลเซอร์ก็คือ ช่วยลดการสูญเสียเลือดและความบอบช้ำของเนื้อเยื่อ

ทำรีแพร์ไม่น่ากลัว

การทำรีแพร์เพื่อกระชับช่องคลอดแก้ปัญหาช่องคลอดหลวม หย่อนยาน ถือเป็นการผ่าตัดเล็กนะคะ แต่ก็ต้องงดกินอาหารและน้ำก่อนทำอย่างน้อย 6 ชั่วโมง เพราะคุณหมอจะต้องฉีดยานอนหลับให้คนไข้ ขืนมีอาหารอยู่ในกระเพาะอาจสำลักเป็นอันตรายได้


ในการทำคุณหมอจะตัดกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อที่หย่อนยานในช่องคลอดออกตลอดความยาวของช่องคลอด รวมถึงตัดผิวหนังบริเวณปากช่องคลอดออกด้วยเพื่อลดขนาดของช่องคลอด และถ้าต้องการให้กระชับแบบสุดๆ คุณหมออาจจะผ่าตัดฝีเย็บเพิ่ม ซึ่งก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไรเพราะอยู่ในบริเวณเดียวกัน ใช้เวลาทำเบ็ดเสร็จประมาณ 1 ชั่วโมง  พอตื่นดีก็โกโฮมบ้านใครบ้านมัน ไม่ต้องค้างคืนที่โรงพยาบาล

         เตรียมพร้อม...ถ้าพร้อมทำรีแพร์
       
       กายพร้อมแต่ใจยังรู้สึกกระดาก...กลัวถูกประนามว่าเซ็กซ์จัด กลัวคนวิจารณ์โน่นนั่นนี่ แก้ปัญหาง้าย ง่ายค่ะ ก็ไม่ต้องเที่ยวบอกใครว่าคุณจะไปทำอะไร แต่จะว่าไปเดี๋ยวนี้การทำรีแพร์กลายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่เรื่องน่าอายอะไร แต่ถ้ายังทนฟังคำวิจารณ์ไม่ได้ก็ทำอย่างที่บอก แต่กับคุณสามี ห้ามปิดนะคะ ไม่งั้นเป็นเรื่อง ต้องไม่ลืมว่าคุณเข้ารับการผ่าตัดซึ่งก็ต้องมีผลตามมา เจ็บตรงนั้นนี่แน่นอน เจ็บแน่ๆ ต้องใช้เวลาพักฟื้นกว่าแผลจะหายดี ซึ่งคุณหมอจะงดกุ๊กกิ๊กอย่างน้อย 45 วัน คุณผู้หญิงอาจคิดว่าแป๊บเดียว แต่ผู้ชายเขาไม่คิดงั้นสิ เขาจะรู้สึกว่ามันนานเป็นชาติเลยล่ะ ฉะนั้นต้องคุยให้เข้าใจกันก่อน
          
   ปรึกษาคุณหมอปุ๊บใช่ทำได้ปั๊บทุกคนนะ...คุณหมอจะทำให้ช่วงที่ประจำเดือนหมดไม่เกิน 1 อาทิตย์ ทำไมต้องเป็นเวลานี้ ก็เพราะถ้ายังมีเลือดประจำเดือนไหลโกร๊กๆ จะผ่าก็คงลำบากพิลึก ผ่าไปแล้วโอกาสติดเชื้อ แผลอักเสบก็มีสูง ฉะนั้นต้องรอให้หมดซะก่อนซักประมาณหนึ่งสัปดาห์กำลังเหมาะ ขืนนานกว่านั้นทำไปไม่กี่วันประจำเดือนมาอีกจะยุ่ง

       ก่อนทำตรวจภายใน ตรวจมะเร็งปากมดลูก ให้จบๆ ไปซะ หลังทำจะมาขึ้นขาหยั่งใส่เครื่องมือถ่างขยายช่องคลอด ไอ้ที่เย็บที่ทำไว้คงได้ฉีกกันพอดี



ทำตามหมอสั่งหลังทำด้วยล่ะ
งดมีเพศสัมพันธ์อย่างน้อย 45 วันอย่างที่บอกไปตอนต้น รอแผลหายก่อนค่อยจัดหนักค่ะ

เลี่ยงยกของหนัก หรือเดินมาก จะได้ไม่เจ็บแผล หรือเสี่ยงแผลอักเสบ

อย่าแก้ปัญหาชีวิตคู่ด้วยรีแพร์
               
      ถ้าเรื่องเซ็กซ์เหี่ยวแห้งเพราะปัญหาช่องคลอดหลวม รีแพร์ช่วยให้ช่องคลอดของคุณกระชับกลับมาฟิตได้ ชีวิตคู่ก็จะสดใสซาบซ่าทันตา แต่ถ้าชีวิตคู่ของคุณกำลังลุ่มๆ ดอนๆ จากสารพัดปัญหารุมเร้า การลุกขึ้นมาทำรีแพร์หวังมัดใจสามีอาจไม่ใช่ทางออกที่เวิร์ก และไม่การันตีว่าชีวิตคู่ของคุณจะไปได้ตลอดรอดฝั่งค่ะ
             
        แต่ถ้าเซ็กซ์ขลุกขลักพาลให้ชีวิตคู่ของคุณสะดุด อยากซ่อมด้วยการทำรีแพร์ก็ลุยโลดเลยค่ะ    


ขอบคุณข้อมูล & ภาพประกอบ :  โรงพยาบาลยันฮี

วันพุธที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2558

ช่องคลอด...ปลอดภัย

คำว่า ช่องคลอด คงไม่ต้องเหลากันยาวแล้วใช่มะ สาวๆ รู้กันดีว่าอยู่ส่วนไหนของร่างกาย ส่วนสงวนลึกแต่ไม่ลับและไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะพูดถึงอีกต่อไป




เป็นสาวเป็นแส้หรือจะปูนไหน หัดสังเกตสังกาไว้บ้างนะว่าช่องคลอดของเราปกติสุขดีอยู่หรือเปล่า ไม่ต้องไปล้วงแคะแกะเกา ส่องหน้าส่องหลังให้ยุ่งยาก วิธีง่ายๆ ที่จะดูว่าช่องคลอดปลอดภัยไร้กังวลให้สังเกตจาก ตกขาว ที่ออกมาทางช่องคลอดค่ะ



ตกขาวมายังไง ทำไมถึงมี....

ตกขาว....เกิดจากอิทธิพลของฮอร์โมนเพศหญิงในร่างกาย ทำให้เกิดการหลั่งน้ำหรือสารคัดหลั่งจากผนังช่องคลอด จำนวนของตกขาวอาจจะมีมากขึ้นได้ถ้ามีอารมณ์เครียด ช่วงเวลาใกล้ตกไข่ ระหว่างตั้งครรภ์ หรือขณะมีเพศสัมพันธ์







          แล้วตกขาวปกติเป็นไง?

ตกขาวปกติ  :  ลักษณะคล้ายแป้งเปียกสีขาวขุ่น หรืออาจเป็นเมือกใส มีจำนวนไม่มาก ไม่มีกลิ่น และไม่มีอาการคัน

ถ้าดูแล้วตกขาวปกติดี ก็สบายใจหายห่วงได้ล่ะ การทำความสะอาดใช้น้ำสะอาดล้างก็เพียงพอ

ตกขาวผิดปกติล่ะยังไง?

ตกขาวผิดปกติ  :  ลักษณะเป็นสีเหลือง เขียว หรือคล้ายหนอง มีกลิ่นผิดปกติ อาจมีอาการอื่นร่วมด้วย เช่น อาการคัน ปวดแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอด หรือบริเวณใกล้เคียง เป็นต้น

ถ้ามีตกขาวไม่ปกติอย่างนี้ถือเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่ามีความผิดปกติอย่างใดอย่างหนึ่งเกิดขึ้นภายในช่องคลอดแล้ว อาทิ
        ·       พบบ่อยว่ามีการอักเสบติดเชื้อภายในช่องคลอด เช่น
                -   ติดเชื้อจากพยาธิในช่องคลอด
                -   ติดเชื้อรา
                -   ติดเชื้อหนองใน
                -   ติดเชื้อแบคทีเรีย
        ·       ปากมดลูกอักเสบ เป็นแผล
        ·       มีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด
        ·       มีแผลที่ช่องคลอด
        ·       มีเนื้องอกและมะเร็งปากมดลูก




ตกขาวผิดปกติ...ช่องคลอดสาวๆท่าจะไม่ปลอดภัยแล้วล่ะ 
ฉะนั้นอย่านิ่งนอนใจ ใจเย็นเก็บไปใช้เวลาอื่น เวลานี้ควรรีบไปพบคุณหมอสูติซะ ถ้าติดเชื้อพยาธิในช่องคลอด ติดเชื้อรา ให้หนีบคู่นอนไปด้วย ไม่งั้นก็จะเป็นซ้ำเป็นซากอยู่นั่นแหละ
อะไรไม่ควรทำ วินิจฉัยโรคเอง ซื้อยากินเอง เหน็บเอง นอกจากไม่หายแล้วยังอาจเรื้อรัง





อนามัยช่องคลอดดี...มีชัยไปกว่าครึ่ง

        ล้างอย่างระวัง 
    ช่องคลอดกับทวารหนักอยู่ใกล้กัน หลังถ่ายหนักต้องไม่ล้างและเช็ดย้อนไปมา ให้ทำจากหน้าไปหลังทิศทางเดียว จะช่วยลดโอกาสการติดเชื้อได้





ล้างช่องคลอดไม่จำเป็น
 อนามัยดีขนาดไหนก็ไม่ต้องล้างกันถึงภายในค่ะ ถ้าจะทำความสะอาดจุดซ่อนเร้นแค่ชำระล้างภายนอกด้วยสบู่อ่อน ๆ หรือน้ำอุ่นก็พอ

    สาวๆ ที่นิยมซื้อน้ำยามาล้างช่องคลอด  ควรเลิกทำซะ เพราะน้ำยาล้างช่องคลอดมักมีส่วนผสมของสารฆ่าเชื้อฤทธิ์รุนแรง ซึ่งจะทำลายเชื้อแบคทีเรียตัวดีที่ช่วยรักษาสมดุลกรด - ด่างในช่องคลอด และคอยปกป้องเชื้อตัวร้ายที่จะเข้าสู่ช่องคลอด ทำให้สาวๆ มีโอกาสติดเชื้อได้ง่าย

กินยาอย่าพร่ำเพรื่อ 
สาวๆ ที่กินยาปฏิชีวนะเป็นประจำ เช่น กินเพื่อรักษาสิว ฤทธิ์ยาอาจไปฆ่าเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด ผลที่ตามมาไม่ต่างกับการสวนล้างช่องคลอดที่กล่าวไปข้างต้น

สอดไม่เวิร์ก 
เลี่ยงใช้ผ้าอนามัยแบบสอด ลดการเกิดอาการระคายเคือง ติดเชื้อได้



วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

กระชากวัย...ให้ใครๆ เรียกพี่

           ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยรักสวยรักงาม เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผิวพรรณก็ย่อมร่วงโรย ซึ่งปัญหาผิวพรรณนี่ล่ะ ที่ทิ่มแทงใจผู้หญิงเรามากที่สุด ส่องกระจกทีไรความมั่นใจถดถอยทู๊กที
      

               
             ฝรั่งเค้าว่า ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40 สำหรับผู้หญิงเราก็เริ่มต้นเหมือนกันค่ะ แต่เป็นการเริ่มความเครียดกังวล เรื่องผิวพรรณ เมื่อย่างเข้าเลข 4 วัย 40 อัพ ต้องเริ่มต่อสู้กับริ้วรงริ้วรอยที่ผิวหน้า ผิวก็ไม่อิ่มเอิบเหมือนเก่า ครั้นย่างเข้าเลข 5 นี่สิ ได้ตระหนกของแท้ ผู้หญิงวัย 50 อัพ สภาพผิวหน้าจะหย่อนคล้อยและริ้วรอยร่องลึกจะปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน


  ถ้าคุณไม่อยากนั่งส่องกระจกแล้วพึ่งคาถา “ทำใจ” หรือโป๊ะครีมชะลอริ้วรอยจนหมดไปหลายๆ กระปุกขอแนะนำหลากเทคนิคเพื่อผิวหน้ากระชับเต่งตึง (กรณีหน้าตึงเป็นพักๆ เพราะถูกทักว่า “ป้า” นี่ไม่เกี่ยว อันนั้นทั้งตึงทั้งเจ็บจี๊ดค่ะ) ซึ่งมีทั้งวิธีไม่ต้องผ่าตัด ไม่ลงมีดให้หวาดเสียว กับผ่าตัดดึงหน้าไปเลย เจ็บแต่จบ ผิวกระชับตึงขึ้นทันตา

      
         การฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็ม เข้าใต้ผิวหนัง จะช่วยลดริ้วรอยและรอยย่นตามผิวหน้า เช่น ร่องแก้มลึก รอยย่นหางตา รอยย่นบริเวณหน้าผาก สำหรับฟิลเลอร์ที่ใช้ในปัจจุบันเป็นสาร ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid) ซึ่งปกติร่างกายคนเราจะมีสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบตามธรรมชาติอยู่แล้ว คุณสมบัติของสารนี้ก็คือการรวมตัวกับน้ำและอุ้มน้ำไว้ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นริ้วรอยหรือร่องลึกตื้นขึ้น
  
 ปัจจุบันฟิลเลอร์มีใช้หลายตัว แต่องค์ประกอบหลักยังเป็นสารไฮยาลูโรนิค แอซิด เช่น Restylane, Juvederm ถ้าเป็น Juvederm จะมีการผสมยาชาปริมาณเล็กน้อยเข้าไปด้วยเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดขณะฉีด    
   
 หลังฉีดฟิลเลอร์ช่วง 2-3 วันแรก ให้เลี่ยงใช้สารผลัดผิว เช่น AHA, BHA, Retinol ชั่วคราว หลังจากนั้นให้ใช้ครีมบำรุงได้ตามปกติ การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้ริ้วรอย ร่องลึก หายไปได้นานประมาณ 6-12 เดือน บางคนอาจจะน้อยหรือมากกว่านี้ขึ้นกับหลายปัจจัย อาทิ อายุ ดูแลผิวยังไง ดำเนินชีวิตแบบไหน ฯลฯ


(2)  ฉีดโบท๊อกซ์ (Botox)

         โบท๊อกซ์ เป็นสารโปรตีนสกัดชนิดหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยหยุดการทำงาน ลดการหดตัวลง การฉีดโบท๊อกซ์ ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เช่น รอยตีนกา รอยย่นหว่างคิ้ว รอยย่นบริเวณหน้าผาก ซึ่งหมอจะฉีดโบท๊อกซ์เข้าไปบริเวณที่ต้องการลดรอยย่น โดยใช้เข็มฉีดขนาดเล็กมาก และปริมาณยาฉีดไม่เกิน 1 ซี.ซี. หลังฉีดยา 3 ชั่วโมงแรกไปแล้ว ควรบริหารกล้ามเนื้อที่ฉีดบ่อยๆ เพื่อให้ยากระจายตัวได้ดี
         
         โดยทั่วไป รอยย่นบริเวณที่ฉีดโบท๊อกซ์จะค่อยๆ หายไปภายใน 3-7 วัน และสภาพผิวที่เรียบตึงนี้จะคงอยู่ได้นานประมาณ 8-10 เดือน


(3) ยกกระชับผิวหน้าด้วย...เทอร์มาจ (Thermage)


  เทอร์มาจช่วยให้ผิวหน้ายกกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง โดยการส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) ไปยังชั้นผิวที่ลึกเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะทำจะรู้สึกร้อนลึกๆ ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะนั้นบ่งชี้ว่า คอลลาเจนได้รับความร้อนในระดับที่ทำให้ผิวกระชับตัวได้ดี ขณะเดียวกันก็มีการให้ความเย็นเป็นช่วงๆ ขณะส่งผ่านพลังงานในแต่ละครั้งเพื่อปกป้องผิวหนังชั้นบนจากความร้อนด้วยค่ะ

  เทอร์มาจจะทำการรักษาเพียงครั้งเดียวสามารถรักษาได้ทุกสภาพสีผิว คนผิวคล้ำที่ไม่ค่อยกินเส้นกับเลเซอร์จึงเหมาะกับวิธีนี้ค่ะหลังทำคนไข้จะรู้สึกทันทีว่าผิวหน้ายกกระชับขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนมีการหดตัวหลังจากได้รับพลังงานจากคลื่นวิทยุ หลังจากนั้นจะมีการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นผลชัดเจนอีกทีหลังทำประมาณ 3 - 6 เดือน ปกติแล้วผิวหน้าจะยกกระชับอยู่ประมาณ 1 - 2 ปี 







อัลเธอรา เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่นำคลื่นอัลตราซาวด์ที่มีความเฉพาะเจาะจงมาช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอยที่ผิวหน้า โดยคลื่นอัลตราซาวด์ที่ถูกส่งไปยังชั้นใต้ผิวจะลงเป็นจุดเล็ก ๆ ระยะห่างระหว่างจุดเท่า ๆ กันประมาณ 1 มิลลิเมตร ซึ่งนอกจากจะทำให้พลังงานความร้อนที่ลงสู่ใต้ผิวมีความสม่ำเสมอแล้ว ยังสามารถลงลึกได้ถึงตำแหน่งที่ต้องการอีกด้วย แต่ขณะทำก็จะรู้สึกเหมือนมีหนามเล็ก ๆ แทงลงบนผิวลึก ๆ (แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากมาย ไม่ต้องกังวลค่ะ) และจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่ใต้ผิวหนังด้วย หลังทำบางคนอาจมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เกินชั่วโมงก็จะหายไปเอง

สำหรับพลังงานความร้อนจะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวค่อย ๆ ตึง เรียบเนียนขึ้นทีละน้อย  และเห็นผลอย่างชัดเจนประมาณ 3 - 6 เดือนหลังทำเพียงครั้งเดียว




อีกหนึ่งเทคนิคไม่ต้องผ่าตัด โดยการร้อยไหมละลายเข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งไหมจะไปกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนใต้ผิว จึงอย่าแปลกใจถ้ารู้สึกว่าผิวหน้ายกกระชับขึ้นทันที จากนั้นไหมที่ร้อยเข้าไปจะค่อยๆ ละลายอย่างช้าๆ ซึ่งกว่าไหมจะสลายตัวหมดใช้เวลาประมาณ 6 – 8 เดือน ขณะที่ไหมละลายอยู่นั้นจะเกิดกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่ออย่างต่อเนื่อง การสร้างเส้นเลือดใหม่ และการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งโครงสร้างคอลลาเจนที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยค้ำจุนผิวทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดเลือน ผิวกระชับเต่งตึงขึ้น เทคนิคร้อยไหมยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียว แก้ปัญหาโหนกแก้มต่ำ ร่องแก้มลึก มุมปากตก แก้มหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาคิ้วและหนังตาตกด้วย...ว้าว

สำหรับไหมที่จะใช้ร้อยดึงหน้าปัจจุบันนิยมใช้ไหม PDO (Polydioxanone)  ซึ่งเป็นไหมที่ใช้เย็บเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือเส้นเลือดในร่างกาย มีใช้ในวงการแพทย์มานาน ได้รับการรับรองเรื่องความปลอดภัย ส่วนผลที่ได้จากการร้อยไหมจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปีค่ะ


คุณผู้หญิงที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ เรียกว่าร่วงโรยเหี่ยวย่นตั้งแต่หน้ายันคอ จะพึ่งพาเทคนิคต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น ก็แหม่...ช้าไม่ทันใจ งั้นแนะนำทำ ผ่าตัดดึงหน้า ไปเลย ข้อดีคือ แก้ไขใบหน้าที่หย่อนยานให้เต่งตึงขึ้นได้ทันตา ไม่เพียงเท่านั้นหมอจะเย็บขึงกล้ามเนื้อที่คอด้านข้างให้ตึงขึ้นด้วย  จะได้ตึงทั้งหน้าทั้งคอ ไม่ใช่ตึงแต่หน้าคอเหี่ยว อย่างนี้แทนที่ทำแล้วจะมั่นใจ มีหวังถูกทักจนเสียเซลฟ์ไปเลย

ทว่าคุณผู้หญิงที่จะผ่าตัดดึงหน้า ต้องรู้ด้วยว่า นี่เป็นการผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาทำนานประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง  และต้องดมยาสลบ ฉะนั้นควรมีร่างกายแข็งแรงพอสมควรนะคะ ใครมีโรคประจำตัวหรือกินยาอะไรเป็นประจำต้องแจ้งคุณหมอด้วย อย่าคิดว่าชิลๆ ไม่เป็นไร ถ้าสูบบุหรี่ ก่อนทำก็หยุดซะ หลังทำก็รอจนกว่าแผลจะหาย
     
อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนคือ แผลผ่าตัดดึงหน้านั้นค่อนข้างยาว ก็ไม่ต้องตกอกตกใจไป ปกติคุณหมอจะลงมีดตั้งแต่บริเวณเหนือหูขึ้นไปถึงบริเวณขมับ โดยผ่านผิวหนังหลังแนวผมเข้าไปตามขอบใบหูด้านหน้า และอาจจะเว้าขึ้นไปที่ติ่งหน้ารูหูเล็กน้อย แล้วต่อลงมาที่ติ่งหูด้านล่าง โค้งอ้อมติ่งหูไปทางด้านหลังหูตรงบริเวณซอกหลังใบหูขึ้นไป จากนั้นจึงลากผ่านเข้าไปในผมอีกทีเพื่อซ่อนแผลไว้ในแนวเส้นผม แผลที่โผล่ให้เห็นจึงอยู่ตรงบริเวณขอบหูด้านหน้าเท่านั้น หายแล้วก็เห็นไม่ชัด ส่วนบริเวณอื่นๆจะถูกซ่อนไว้ตามแนวเส้นผม
            
        หลังดึงหน้าอาการบวมมีแน่ๆ ทำใจไว้เลย ควรขยันประคบเย็นลดบวม ปกติอาการบวมหรือฟกช้ำจะเป็นนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าเอาแบบเข้ารูปเข้ารอยจริงๆ ก็ราว 1 เดือน ส่วนความตึงของผิวหน้ามักจะอยู่ได้นานหลายปี แต่ขึ้นกับการดูแลผิวด้วย ต้องระวังพวกปัจจัยที่ทำร้ายผิวพรรณ สำหรับผลข้างเคียงที่คนมักกังวลคือ อาการชาที่หน้า นี่เป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอ โดยทั่วไปการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่เลี้ยงผิวจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนค่ะ



ขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลยันฮี

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

แสงแดด...ทำหน้าแก่เร็ว!

                  เวรล่ะสิ บ้านเราเป็นเมืองร้อนแสงแดดแผดจ้าซะด้วย จะหนียังไงพ้นล่ะเนี่ย บอกเลยไม่มีทาง เลี่ยงแสงแดดนี่ยากสุดๆ เว้นแต่คุณจะสิงสถิตย์อยู่ในบ้านไม่ก้าวออกไปไหนเลย แล้วมันจะเป็นไปได้ยังไง แหงล่ะ ไม่มีทาง




แสงแดดต้นเหตุทำหน้าแก่อันดับต้น เรียกว่าเป็นตัวการร้ายแรงที่สุดก็ว่าได้ ใครตากแดดเป็นประจำต่อเนื่องนานๆ โดยไม่ป้องกัน ครีมกันแดดก็ไม่ทา หน้าแก่ก่อนวัยแซงหน้าอายุจริงจะตามมาในไม่ช้า

เรื่องของ แสงแดด...ที่คุณควรรู้


- แสงแดดที่ส่องลงมายังพื้นโลกส่วนใหญ่ประกอบด้วย (1)แสงอุลตราไวโอเลต และ (2) แสงอินฟราเรด โดยแสงอุลตราไวโอเลตที่ผ่านทะลุบรรยากาศโลกลงมามี 2 ชนิด คือ
(1) แสงคลื่นยาว เรียกว่า ยูวีเอ (UVA)
(2) แสงคลื่นสั้น เรียกว่า ยูวีบี (UVB)

ช่วงเวลาที่แสง ยูวีเอ และ ยูวีบี ส่องผ่านมายังโลกเข้มที่สุด คือช่วงเวลา 10.00-15.00 น.

แสงอุลตราไวโอเลตสามารถส่องผ่านผิวชั้นบน ทำให้ผิวหน้าไหม้เกรียม เกิดกระ ริ้วรอยก่อนวัย  และยังสามารถทะลุผ่านชั้นผิวที่ลึกลงไปทำลายคอลลาเจนและอิลาสตินซึ่งเป็นส่วนประกอบจำเป็นที่ทำให้ผิวอ่อนวัย


หากผิวหน้าได้รับแสงแดดหรือรับรังสี UVA ต่อเนื่องเป็นเวลานานจนสภาพผิวหน้าเกิดการเปลี่ยนแปลงคือ มีความหย่อนยาน ความยืดหยุ่นลดลง มีริ้วรอยเล็กๆ ไปจนถึงริ้วรอยที่เป็นร่องลึก อาการแก่ก่อนวัยของผิวเช่นนี้ทางการเเพทย์เรียกว่า โฟโต้เอจจิ้ง (Photoaging)
      

     
     ชวนยี้ซะขนาดนี้ สาวๆ คงอยากลาขาดกับแสงแดดกันเลยทีเดียว แต่มันทำได้ยากไง แล้วจะมีวิธีไหนที่ผิวหน้าจะรอดพ้นจากแสงแดดแผดเผาได้มากที่สุด

ปกป้องผิวหน้า จากแสงแดดกันเถอะ


  เลี่ยงแดดได้...เลี่ยงเลย โดยเฉพาะช่วงเวลาที่มีแดดจัดมาก ๆ นั่นคือช่วง 10.00-15.00 .

  ป้องกันแดดแบบบ้านๆ สวมหมวก ถ้าเป็นไปได้เลือกหมวกปีกกว้างจะกันแดดได้ทั้งใบหน้า กางร่ม ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมสาวๆ บ้านเราถึงไม่ค่อยนิยมพกร่ม ยอมเดินตากแดดเปรี้ยงๆ ถ้าไม่ยุ่งยากอะไรยืดอกพกร่มดีกว่าค่ะ กันแดดก็ได้ กันฝนก็ดี

  ทาครีมกันแดด...สำคัญมากนะ ให้ทาเป็นประจำ นอกจากทาบริเวณหน้าแล้ว ถ้าบริเวณหู, คอ สัมผัสแสงแดดก็ให้ทาด้วย ส่วนจะทาผิวส่วนอื่น เช่น แขน, หลังมือ, ขา ด้วยก็ไม่ผิดกติกาค่ะ


รู้ก่อนทาครีมกันแดด

- โดยทั่วไปครีมกันแดดมักผสมสารป้องกันเเสงแดด 2 ชนิด คือ
(1)สารกันแดดชนิดสะท้อนแสง
(2)สารกันแดดชนิดดูดซับเเสง
การผสมตัวยาหลายชนิด ข้อดี มีคุณสมบัติป้องกันเเสงแดดได้ดีขึ้น

- ครีมกันแดดที่ดี ควรป้องกันได้ทั้ง ยูวีเอ แะล ยูวีบี

- เวลาพูดถึงครีมกันแดด เราจะได้ยินคำว่า ค่า SPF สงสัยกันมั้ยคือค่าอะไร?
  • SPF ย่อมาจาก Sun Protection Factor เป็นค่าแสดงถึงประสิทธิภาพในการป้องกันแสงแดดได้เป็นจำนวนเท่าเมื่อเทียบกับที่ไม่ได้ใช้ครีม
  • ค่า SPF หมายถึง ความสามารถของสารกันแดดในการป้องกันการไหม้จาก ยูวีบี ได้นาน 15 นาที ต่อ 1 SPF ดังนั้น SPF 15 หมายถึง สามารถป้องกันได้นาน 225 นาที 
  • ค่า SPF มากกว่า 20 ขึ้นไป จะสามารถป้องกัน ยูวีบี ได้มากกว่า 95%
  • รังสี ยูวีเอ คือ ค่า PA ซึ่งจะแสดงเป็นเครื่องหมาย + เพราะฉะนั้น ควรเลือกที่มี + + หรือ + + + ขึ้นไป
  • แสงแดดอย่างบ้านเราใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ก็เพียงพอ แต่ถ้าต้องออกแดดนานๆ เช่น ไปเที่ยวทะเล, เล่นกีฬากลางแจ้ง ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 40 หรือมากกว่านั้น
  • กล้าซ่าท้าแดดหลังทาครีม...บอกเลยคิดผิดมหันต์ การทาครีมกันแดดไม่ว่าจะ SPF สูงแค่ไหนก็ห้ามไปเดินเฉิดฉายกลางแดด รู้ไว้นะ...ไม่มีครีมกันแดดยี่ห้อใดกันได้ 100%



อยากเที่ยวทะเล...เที่ยวให้เป็น

หน้าร้อนคนส่วนใหญ่นิยมหนีร้อนไปเที่ยวชายทะเล รับลมเย็นๆ ถ้าสาวๆ ไม่อยากรับแดดเต็มๆ ล่ะก็...

เลือกช่วงเวลาเฉิดฉายชายหาดช่วงเช้าแดดอ่อนๆ หรือช่วงเย็นที่แดดร่มลมตกดีกว่านะ

หมวกปีกกว้างอย่าให้ห่างตัว ไม่เพียงดูเก๋ไก๋ หมวกลักษณะนี้ยังช่วยกรองแสงที่สาดส่องมายังใบหน้าของคุณได้อีกด้วย

ครีมกันแดดห้ามลืม! 
(1) เลือกครีมที่กันแดดได้ทั้ง ยูวีเอ และ ยูวีบี ถ้าลงเล่นน้ำด้วยเพิ่มคุณสมบัติกันน้ำเข้าไปด้วย 
(2) ควรทาซ้ำทุก 2-3 ชั่วโมง ทาทีเดียวเหมาตลอดวันไม่เอานะ  ถ้าลงเล่นน้ำควรทาถี่ขึ้นทุก 1 ชั่วโมง 
(3) ถ้าไปเที่ยวแล้วนั่งในร่มไม้ตลอด ไม่ลงน้ำ ไม่เดินชายหาด ก็อย่าคิดว่าจะรอด แสงแดดสามารถสะท้อนพื้นน้ำ พื้นทรายมายังคุณได้ ฉะนั้นครีมกันแดดที่เตรียมไปหยิบออกมาใช้ซะ




ขอบคุณข้อมูล  โรงพยาบาลยันฮี