วันพฤหัสบดีที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ออ(โร)ร่า...หน้าเด้ง

กระแสหน้าใสไม่เคยตกเทรนด์    สาว ๆ หลายคนที่ดูแลผิวหน้าให้สวยใสแบบจัดเต็ม เป็นต้นว่าพฤติกรรมอะไรที่ว่าดีก็รีบทำ   อะไรที่ว่าแย่ทำร้ายผิวหน้าก็ลด ละ เลิก    สูตรพอกหน้าที่ใครว่าเจ๋งก็ไม่เคยพลาด   ถ้าทำเป็นประจำวินัยสม่ำเสมออย่างนี้  ผิวหน้าจะใสเป๊ะคงไม่ใช่เรื่องแปลก   แต่สาวบางคนที่ยังรู้สึกว่าผิวหน้าไม่ใสยังแผ่ออร่าไม่สมใจล่ะก็   คงต้องหาตัวช่วยเพิ่ม   ถ้าจะเอาแน่นอนก็พึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ไปเลย อย่างเช่น อโรร่า (Aurora)  


แต่เดิมการทำหน้าใสจะรักษาด้วยแสง IPL หรือ แสงความเข้มข้นสูง (Intense pulsed light) อย่างเดียว   ซึ่งได้ผลดีในระดับหนึ่ง   ต่อมาได้มีการผสมผสานเทคนิคเพื่อให้ผลการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้น   กลายเป็นเทคโนโลยีอโรร่าที่เรากำลังพูดถึงอยู่นี่ล่ะค่ะ

เทคโนโลยีอโรร่าเป็นการนำแสง IPL   มาใช้ร่วมกับ RF หรือคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency)     หลักการก็คือ การฉายแสง IPL ลงไปจับกับเป้าหมายซึ่งได้แก่ เม็ดสีต่างๆ  และสารฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงในชั้นหนังแท้ก่อน   ทำให้เป้าหมายมีอุณหภูมิสูงขึ้น และมีความต้านทานต่อคลื่นความถี่วิทยุ หรือ RF น้อยลง   ทำให้คลื่นความถี่วิทยุสามารถผ่านลงไปถึงเป้าหมายได้มากขึ้น ส่งผลให้เส้นเลือดฝอยดีขึ้น ผิวหน้าขาวใส รอยดำ กระ จางลง และการที่มีอุณหภูมิในชั้นหนังแท้เพิ่มขึ้นยังเป็นการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่เพิ่มขึ้น   ทำให้ผิวหน้าเต่งตึง ริ้วรอยลดลง รูขุมขนกระชับขึ้น




การทำหน้าใสด้วยอโรร่าใช้เวลาในการทำประมาณ 30 นาที ซึ่งถือว่าสั้นมาก  ไม่ต้องใช้ยาชาทา   ขั้นตอนการทำไม่ยุ่งยาก   คุณหมอจะฉายแสง IPL และคลื่นความถี่วิทยุลงไปบริเวณผิวหน้าจนทั่ว   อาจเน้นในบางจุดที่มีปัญหาเป็นพิเศษ   หลังทำอาจจะมีรอยแดงๆ บ้างเล็กน้อย ไม่ต้องกลัว ไม่ต้องตกใจ   สาวๆ สามารถแต่งหน้าไปทำงานต่อได้เลย ถ้าอยากหน้าขาวใสเห็นผลชัดเจนให้ทำซ้ำทุก 1 เดือน ประมาณ 4-5 ครั้งค่ะ

สาวๆ ที่ใต้วงแขนหรือรักแร้ดำ ปัญหาชวนสยองของสาวๆ ทั้งโลก สามารถปรึกษาคุณหมอแก้ไขได้ด้วยอโรร่าเช่นกัน เรียกว่าไม่ได้ทำหน้าขาวใสได้อย่างเดียว จุดละเอียดอ่อนต่อความรู้สึกของสาวๆ อย่างรักแร้ก็ทำให้ขาวขึ้นได้ จะใส่เสื้อแขนกุด เกาะอก ยกแขนโชว์รักแร้ก็ไม่ต้องเหนียม ๆ อาย ๆ อีกต่อไป


ถ้าจะมอบสโลแกน...ขาวบริ๊งตั้งแต่หน้ายันรักแร้...ให้ คงไม่เว่อร์หรอกใช่มะ

วันพุธที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ใสเป๊ะ...ด้วยธรรมชาติ

ถ้าผิวหน้ายังไม่สวยใสเป๊ะดังใจ อีกวิธีที่สาวๆนิยมกันก็คือ การพอกหน้าใส แต่ในยุคเศรษฐกิจอย่างนี้จะลงทุนหาอะไรที่แพงลิบลิ่วมาโป๊ะหน้าก็ใช่เรื่อง แนะนำพืชผักผลไม้ใกล้ตัวนี่แหละ หาง่าย ราคาถูก ปลอดภัย แถมยังอินเทรนด์ตามวิถีธรรมชาติบำบัด แหม่...เริ่ดจริง

เริ่มจากคนส่วนใหญ่คุ้ยเคย ต้องนี่เลย แตงกวาสดๆ เอามาล้างน้ำให้สะอาดนำไปสับหรือปั่น คั้นเอาแต่น้ำแล้วนำมาทาบางๆ ให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ให้แห้งแล้วล้างออก ในแตงกวามีสารอีเร็พซิน (Erepsin) ที่ช่วยให้ผิวหน้าสดใสมีชีวิตชีวา ใบชา อีกหนึ่งพืชยอดฮิตที่ไม่พูดถึงคงเช้ย เชย ให้นำใบชาที่ต้มแล้วบรรจุลงในถุงผ้าสะอาดบางๆ ขนาดเล็กวางบนผิวหน้าหรือบริเวณรอบดวงตา ช่วยให้ผิวกลับมาชุ่มชื่นสดใสอีกครั้ง หรือจะใช้ แตงโม เนื้อแดงฉ่ำน้ำที่สาวๆก็นิยมกันไม่น้อยก็ได้เช่นกัน โดยนำแตงโมส่วนที่แดงที่สุดมาฝานเป็นชิ้นบางๆ จากนั้นนำมาแปะให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด


            
        การพอกหน้าใสโดยใช้ผักผลไม้ที่มีกรดอ่อนๆ หรือกรดซิตริก (Citric) เป็นองค์ประกอบก็เป็นที่นิยม โดยกรดอ่อนจะมีคุณสมบัติช่วยผลัดเซลล์ผิว ในกลุ่มนี้ก็อย่างเช่น มะขามเปียก เปรี้ยวเข็ดฟัน นำมาผสมกับ น้ำผึ้ง ทาให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที แล้วล้างออกจะช่วยให้ผิวหน้าเกลี้ยงเกลาลดความหมองคล้ำลงได้ หรือใช้ น้ำมะนาว มาผสม น้ำ อัตราส่วน 1:1 ทาให้ทั่วใบหน้าทิ้งไว้สักครู่ แล้วล้างออก ช่วยลดเลือนจุดด่างดำและทำให้ผิวนุ่มนวลขึ้น หรือจะเป็นสูตร น้ำมะนาว ผสม แอปเปิ้ล ก็ได้ โดยปั่นแอปเปิ้ลที่ีไม่ปอกเปลือก ½ ลูกจนละเอียดแล้วนำไปผสมกับ น้ำมะนาวประมาณ 2 ช้อนชา นำมาพอกใบหน้าประมาณ 10 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด


มะเขือเทศสุกสดๆ ผลไม้ขวัญใจสาวๆอยากผิวสวยใสอีกชนิด เวลาจะนำมาใช้พอกหน้าทำได้ 2 แบบ แบบแรกนำมาปั่นให้ละเอียด แล้วพอกที่ผิว ทิ้งเอาไว้สักครู่ก่อนจะล้างออก แบบที่สองนำมาฝานเป็นชิ้นหนาๆ แล้วนำมาถูให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งเอาไว้สักครู่ แล้วใช้สำลีชุบน้ำเย็น เช็ดน้ำมะเขือเทศบนผิวออกให้หมด





น้ำมะพร้าว คนไทยเคยชินกับการนำน้ำมะพร้าวมาใช้ล้างหน้า....(ละไว้ในฐานที่เข้าใจก็แล้วกัน) ถ้าสาวๆ ไม่ซีเรียสล่ะก็ ใช้น้ำมะพร้าวทาบนใบหน้า ทิ้งไว้สักพักแล้วค่อยล้างออก จะช่วยให้หน้าใสเด้ง ผิวเนียนนุ่มขึ้นได้ แต่เอาจริงๆ หลายคนอาจรู้สึกทะแม่งๆ ที่จะนำน้ำมะพร้าวมาใช้ ถ้าไม่สะดวกใจก็ข้ามวิธีนี้ไปเลือกผักผลไม้อย่างอื่นที่สบายใจดีกว่าค่ะ

ใบบัวบก นาทีนี้พักดื่มน้ำใบบัวบกแก้ช้ำในไปก่อน อยากผิวสวยใสให้นำใบบัวบกสดมาคั้นเอาน้ำ แล้วใช้ผ้าก็อซสะอาดชุบน้ำใบบัวบกวางให้ทั่วใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที แล้วล้างออก

ว่านหางจระเข้ พืชมากคุณค่าช่วยบำรุงผิวให้สวยใสเนียนนุ่ม โดยใช้ว่านหางจระเข้ที่ตัดออกมาใหม่ๆ จากต้น ล้างยางสีเหลืองออกให้หมด จากนั้นปอกเอาเฉพาะเนื้อวุ้นมาตีปั่นให้ละเอียดกลายเป็นเนื้อเจลก่อนนำมาพอกบนใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด

  

  
ข้ามมาฟากผลไม้เมืองหนาวมั่ง อย่าง แอปเปิ้ล มีทุกตรอกซอกซอย ซื้อได้ตลอดปีไม่เกี่ยงฤดูกาล  ราคายังสบายกระเป๋า คุณสามารถนำผลสดๆ ไม่ต้องปอกเปลือกมา ½ ลูก ปั่นให้ละเอียด แล้วนำมาพอกบนใบหน้า ทิ้งไว้ประมาณ 25 นาที แล้วค่อยล้างออก ส่วน ผลอโวคาโด  อาจรู้จักในวงแคบกว่าและเสาะหายากสักนิดเพราะไม่ได้มีวางขายดาษดื่นเหมือนแอปเปิ้ล อโวคาโดอุดมไปด้วยวิตามิน เอ บี ซี ดี และอี ช่วยให้ผิวพรรณเปล่งปลั่งสดใส โดยนำอโวคาโดประมาณ ½ ผล มาปั่นให้ละเอียดจนเหมือนเนยเหลว นำไปแช่ตู้เย็นไว้สักครู่ แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ให้แห้งแล้วค่อยล้างออก




พอจะเป็นไอเดียในการดูแลผิวหน้าในสวยใสกันบ้างนะคะ ใครคิดจะไปลองทำให้ยึดหลัก สะดวก ไม่สิ้นเปลือง และปลอดภัย ประการหลังนี่สำคัญ การพอกผิวหน้าควรเลี่ยงบางบริเวณที่อาจเกิดการระคายเคืองได้ง่าย เช่น รอบดวงตา หรือปาก ถ้ารู้ตัวว่าเป็นคนผิวแพ้ง่าย อย่าผลีผลามพอกไปล่ะ ลองทดสอบกับผิวหนังบริเวณท้องแขนดูก่อน โดยพอกทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำสะอาด จากนั้นสังเกตว่าผิวหนังบริเวณนั้นมีอะไรผิดปกติมั้ย เช่น อาการแสบ คัน ระคายเคือง การสังเกตไม่ใช่ว่าแป๊บๆ เลิก บางทีการแพ้อาจจะทอดเวลาหลายชั่วโมงถึงจะปรากฏให้เห็น ดังนั้นควรสังเกตนานประมาณ 24 ชั่วโมง  ห้ามมโนเข้าข้างตัวเองล่ะ เช่น คงไม่ใช่หรอกน่า, เป็นแค่นิดหน่อยเอง บลาๆๆๆ ไม่งั้นแทนที่จะหน้าใสกลายเป็นหน้าเยินเดี๋ยวจะยุ่ง 

วันจันทร์ที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

หน้าใสกิ๊ง...ไม่ต้องถึงมือหมอ

หน้าสวยใส...ไม่ต้องเกรงใจใครจ้า จัดไป! จริงๆ มีหลายวิธีช่วยให้หน้าใส แต่ก่อนจะพึ่งยาหรือ เทคโนโลยีใดๆ ควรดูแลผิวด้วยตัวเองก่อน ถ้าคิดไม่ออกทำยังไง มีคำแนะนำมาฝากแบบไม่ต้องลองผิดลองถูก

        1. ฉลาดใช้เครื่องสำอาง ผู้หญิงกับเครื่องสำอางเป็นของคู่กัน แต่จะเลือกใช้ยังไงไม่ให้ทำร้ายผิวหน้า

·     ตรวจดู วันที่ผลิต วันที่หมดอายุ และต้องมี อย. ด้วยนะจะได้มั่นใจฝุดๆ
·     ระวังการแพ้ สารเคมีที่ผสมในเครื่องสำอางบางตัวอาจทำให้มีอาการแพ้ได้ เช่น สารกันบูด, สารลดแรงตึงผิว, น้ำหอม อย่างคลีนเซอร์ (Cleanser) ที่ผสมสารลดแรงตึงผิว อาจทำให้เกิดการแพ้มีอาการแสบคันยุบยิบ หรือถ้ารุนแรงอาจมีการบวมแดงหรือหน้าลอกได้ จึงควรระมัดระวังเอาไว้ด้วย ถ้ารู้ว่าแพ้ส่วนผสมตัวใดก็ควรหลีกเลี่ยงเครื่องสำอางที่มีสารนั้นผสมอยู่ ถ้าไม่รู้แล้วเกิดอาการแพ้ก็ให้หยุดใช้ซะ แต่ถ้าหยุดแล้วอาการแพ้ดูท่าจะยืดเยื้อรีบปรึกษาหมอดีกว่ารักษาเอง เดี๋ยวหน้าจะพั

2. ล้างยังไงไม่ทำร้ายผิวหน้า  การล้างหน้าใช่ว่าสักแต่ล้างๆ ให้จบๆ ไป ผิวหน้าเป็นส่วนที่บอบบาง ควรใส่ใจและพิถีพิถัน
·    เลือกใช้สบู่อ่อน ๆ ที่มีค่า pH ใกล้เคียงผิว (ประมาณ 5.5 – 6) ไม่มีสารเคมี ยา กลิ่น สี หรือผสมเม็ดทรายขัดผิว เพื่อหลีกเลี่ยงการแพ้หรือระคายเคือง
·    ล้างหน้าไม่เกินวันละ 2 ครั้ง และไม่ขัดถูผิวหน้ารุนแรง
·    ถ้าแต่งหน้าต้องล้างออกให้หมด โดยใช้คลีนเซอร์ (cleanser) ตามสภาพผิว จะเป็นในรูปออยล์ (oil), ครีม (cream) หรือ โลชั่น (lotion) ก็ได้ ถ้าล้างแล้วยังรู้สึกไม่เกลี้ยงให้ใช้สบู่ล้างซ้ำ
·    สำหรับคนผิวมันที่ใช้โทนเนอร์ (toner) หลังล้างหน้า ควรเลือกที่ไม่มีแอลกอฮอล์หรือมีน้อย

        3. กินให้ผิวสวยใส  ง่าย ๆ แค่กินให้ครบ 5 หมู่ กินผัก ผลไม้ มาก ๆ เพราะมีสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยให้ผิวไม่หมองคล้ำ ลดริ้วรอย ดื่มน้ำให้เพียงพอ หลีกเลี่ยงเหล้า บุหรี่ ตัวการที่ทำให้ผิวหนังดูไม่สดใส แก่ก่อนวัย


        4. ออกกำลัง...ช่วยได้  ควรทำสม่ำเสมอ อย่าขี้เกียจ เลือดลมสูบฉีดดีผิวพรรณก็สดใส


        5. พักผ่อนก็สำคัญนะ  ใครนอนน้อยพักผ่อนน้อย ยิ่งติดโซเชียลแชตไลน์ท่องเน็ตดึกดื่นค่อนคืน หน้าตาดูหมองใต้ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้าล่ะก็ หัดเพลา ๆ ลงมั่งนะ


        6. ปกป้องผิวจากรังสียูวี  ผิวหน้าใสๆ โดนแดดก็หมองคล้ำได้ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงแสงแดดช่วง 10 – 16 น. ที่กำลังแรงจัด และใช้ครีมกันแดดปกป้องผิวหน้า บางคนบอกทาครีมกันแดดให้ไปเดินลุยกลางแดดก็บ่ยั่น อ๊ะ อ๊ะ คุณกำลังทำร้ายผิวด้วยความเข้าใจผิดอยู่ บอกเลยว่าไม่มีครีมกันแดดยี่ห้อใดกันได้ 100% ไม่ว่าจะ
SPF สูงขนาดไหนก็ตาม ดังนั้นใช้ครีมกันแดดก็ต้องเลี่ยงแดดด้วย เข้าใจตรงกันนะคะ 

วันพุธที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รับพิษ...ก็ล้างพิษออกซะบ้าง

พิษในที่นี้หมายถึง สารโลหะหนัก ที่ปะปนหรือปนเปื้อนอยู่ในสิ่งแวดล้อมรอบตัว อากาศ อาหาร ก็ไม่เว้น คุณหรือใครๆ ก็มีโอกาสได้รับสารโลหะหนักเข้าสู่ร่างกาย แหม่...โลกนี้ช่างอยู่ยากขึ้นทุกวันจริงๆ เมื่อรับสารโลหะหนักเข้าร่างกายไปนานวัน กำจัดไม่หมดเหลือตกค้างก็จะไปเกาะสะสมตามผนังหลอดเลือดหรืออยู่ในเลือด ทำให้มีปัญหาสุขภาพตามมา วิธีกำจัดก็อย่างที่บอกไปคราวก่อน คือ การทำคีเลชั่น (Chelation) เพื่อล้างหรือฟื้นฟูหลอดเลือดนั่นเองค่ะ

บางคนอาจยังงง ๆ บอกไม่เคยได้ยิน แล้วยุ่งยากมากมั้ย คีเลชั่นมีหลักการง่ายๆ คือเอาสารบางอย่างเข้าสู่ร่างกายเพื่อไล่สารโลหะหนักออก ซึ่งสารที่ว่าก็คือ โปรตีนสังเคราะห์ที่เรียกว่า EDTA โดยคุณหมอจะผสม EDTA วิตามิน และแร่ธาตุ ในสารน้ำแล้วให้ทางหลอดเลือดดำเหมือนเวลาเราป่วยแล้วต้องไปนอนหยอดน้ำเกลือนั่นแหละ ระหว่างทำก็ทำอะไรเพลินๆ ไปได้ เช่น ดูโทรทัศน์ อ่านหนังสือ ฟังเพลง หิวก็กินอาหารได้ โดย EDTA จะเข้าไปจับกับอนุภาคของโลหะหนัก เช่น ตะกั่ว ปรอท แคดเมียม หรือโลหะหนักอื่น ๆ แล้วขจัดออกจากร่างกายทางปัสสาวะ ระหว่างร่างกายกำจัดสารโลหะหนักไตจะทำงานเพิ่มขึ้น หลังทำคนไข้ยังได้รับคำแนะนำให้ดื่มน้ำมาก ๆ เพื่อให้ขับสารโลหะหนักออกได้มากขึ้น จึงต้องตรวจการทำงานของไตก่อนทำ ถ้าการทำงานของไตไม่ดีนี่หมดสิทธิ์ค่ะ



คีเลชั่นเหมาะกับคนที่ตรวจพบสารโลหะหนักในร่างกายจำนวนมาก ถามว่าจะรู้ได้ยังไง อันนี้ต้องไปตรวจค่ะ นอกจากขจัดสารโลหะหนักแล้ว คนที่มีความเสี่ยงต่อโรคที่มีสาเหตุมาจากพิษของโลหะหนักต่อไปนี้ : เส้นเลือดหัวใจตีบ, ความดันโลหิตสูง, กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด, เบาหวาน, ภาวะนอนไม่หลับ อ่อนเพลีย ย้ำว่าต้องสาเหตุจากพิษของโลหะหนักเท่านั้นนะคะ อย่าเหมารวมสาเหตุอื่นๆ สามารถรักษาด้วยคีเลชั่นได้เช่นกัน แถมคีเลชั่นยังช่วยลดการเกิดอนุมูลอิสระและการเกาะตัวของคอเลสเตอรอลที่ผนังหลอดเลือด ใครที่มีพฤติกรรมการกินไม่เหมาะสม เช่น ชอบอาหารรสหวานจัด มันจัด เนื้อสัตว์ ของทอด ปิ้งย่าง หรือมีภาวะเครียดเป็นเวลานาน สูบบุหรี่หรือดื่มเหล้าจัด ลองเก็บไปพิจารณาดูได้ ส่วนคีเลชั่นควรทำบ่อยแค่ไหน ไม่มีคำตอบตายตัวขึ้นกับปัญหาของแต่ละคน

        ระหว่างทำก็ชิลๆ เหมือนให้น้ำเกลือทั่วๆ ไป หลังทำเสร็จไม่ต้องนอนพัก รพ. กลับบ้านทำกิจกรรมได้ตามปกติควรทำตามคำแนะนำของคุณหมอ เช่น ดื่มน้ำมาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ เพราะอาจมีอาการอ่อนเพลียจากการขับสารพิษ ทานวิตามินและแร่ธาตุที่หมอจัดให้ อาการปวดหัว เวียนหัว อาจพบได้บ้างในบางคน อาการจะทุเลาและหายไปเอง ถ้าอาการไม่ดีขึ้นค่อยไปพบหมอ ไม่ต้องตกใจ เป็นอาการข้างเคียงที่พบได้แต่น้อย

วันจันทร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

รู้ยัง...สารพิษอยู่รายล้อมตัวเรา

ทุกวันนี้ชีวิตเราเหมือนจะดี๊ดี สะดวกสบายไปทุกสิ่งอย่าง โลกถูกย่อถึงกันได้รวดเร็วเพียงชั่วนิ้วคลิก

แต่คุณภาพชีวิตของพวกเราเหมือนจะสวนทาง คนเราสมัยนี้กำลังอยู่แบบตายผ่อนส่งกันหรือเปล่า? ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ สิ่งแวดล้อมในชีวิตประจำวันพร้อมพ่นพิษใส่เราตลอดเวลา ทุกๆ วันร่างกายของเรามีโอกาสรับสารพิษ อากาศมีสารโลหะหนัก ก๊าซคาร์บอนมอนนอกไซด์จากท่อไอเสียเครื่องยนต์, อาหารมีสารฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต สารปรุงแต่ง, เครื่องนุ่งห่ม และอุปกรณ์ต่าง ๆ มีสี สารระเหย ฯลฯ

         สารโลหะหนัก เช่น ปรอท ตะกั่ว สารหนู ที่ได้ยินคำเตือนถึงพิษภัยบ่อยๆ อย่าคิดว่าเป็นเรื่องไกลตัว  อย่างสารปรอทเป็นส่วนผสมของวัสดุอุดฟันพวกอมัลกัม ตะกั่วเป็นสารโลหะหนักที่อาจพบได้จากหม้อก๋วยเตี๋ยวรุ่นเก่าๆ ซึ่งเราส่วนใหญ่ไม่เคยตระหนักถึงอันตราย หรือสารหนูอาจพบได้ในข้าว ธัญพืช ผัก ผลไม้ อาหารทะเล เครื่องสำอาง ยาแผนโบราณ ฯลฯ พวกผักผลไม้ที่เรากินเพื่อให้ร่างกายแข็งแรงนั้น รู้มั้ยว่าสารเร่ง หรือปุ๋ยมีโลหะหนักเจือปนอยู่ คนปลูกอาจพ่นยาฆ่าแมลงก่อนเก็บมาขายโดนไม่ทิ้งระยะเวลาให้ยาสลายตัว ก็เลยไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วมันมีประโยชน์ต่อสุขภาพหรือทำให้เรายิ่งตายผ่อนส่งเร็วขึ้น อาหารทะเลหรือน้ำดื่มปนเปื้อนสารโลหะหนักก็ออกข่าวให้พวกเราตระหนกกันเป็นระยะ นี่แค่ตัวอย่างเล็กๆน้อยๆ ให้เห็นว่าสารโลหะหนักเป็นปัญหาใกล้ตัวของเราเพียงใด

เมื่อสารโลหะหนักเข้าสู่ร่างกาย  โดยกลไกธรรมชาติร่างกายก็จะกำจัดออกไป เรียกว่าถ้าปริมาณไม่มากร่างกายยังรับมือไหวอยู่ แต่ทีนี้มันรับทุกวันไง ปริมาณมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ประสิทธิภาพในการขจัดย่อมลดลง สารโลหะหนักก็เลยเหลือตกค้างอยู่ในร่างกาย และไปเกาะสะสมตามผนังหลอดเลือด หรือตกค้างในเลือด ทำให้เกิดปัญหาผนังหลอดเลือดอักเสบ ขรุขระ เส้นเลือดแข็งหรือตีบแคบ อุดตัน ส่งผลให้ระบบการไหลเวียน การลำเลียงไม่ดี ก่อให้เกิดโรคต่าง ๆ ตามมา เช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง หัวใจขาดเลือด และโรคความเสื่อมตามอวัยวะต่าง ๆ

คำถามคือแล้วจะทำยังไง ดีสุดคือหลีกเลี่ยงการรับสารโลหะหนักเข้าสู่ร่างกาย แต่เราก็รู้ว่านั่นเป็นเรื่องยาก งั้นก็ต้องหาทางกำจัดสารโลหะหนักออกไป  
            
         เราเคยได้ยินคำว่า การล้างพิษ กันบ่อยมาก คำว่าล้างลำไส้ หรือ ดีท็อกซ์ ไม่ต้องพูดถึง แทบจะเป็นคัมภีร์ของคนรักษ์สุขภาพ การกำจัดสารโลหะหนักก็ต้องอาศัยการล้างเช่นกัน แต่เป็นการล้างหรือฟื้นฟูหลอดเลือด ที่เรียกว่าการทำ คีเลชั่น” (Chelation) เอ๊ะ...อะไร?  ยังไง? ตอนนี้ยังไม่เฉลยว่าเทคนิคนี้เป็นอย่างไร ถ้าอยากรู้ต้องติดตามค่ะ

วันพฤหัสบดีที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สวนล้างลำไส้...ไม่น่ากลัว

เดี๋ยวนี้ ล้างลำไส้ล้างพิษ หรือ ดีท็อกซ์ เป็นเทรนด์ฮิตของคนรักษ์สุขภาพ ยิ่งมีเครื่องล้างลำไส้ทำให้การล้างพิษกลายเป็นเรื่องง่ายสะดวกสบายไปเลย เสร็จแล้วโล่งสบายตัว แต่เชื่อว่ายังมีหลายคนกลัว ๆ กล้า ๆ อยากทำก็อยากแต่กลัว กังวลนู่นนี่สารพัด ต้องไปนอนสวนล้างด้วยเครื่อง แหม่...แค่คิดก็หวาดเสียวแล้ว ถ้ายังไงมาไขข้อข้องใจบางเรื่องบางประเด็นกันสักหน่อยท่าจะดี




เรื่องที่คนมักกังวลหลักๆ เลยก็คือ ล้างด้วยเครื่องล้างลำไส้ใช้น้ำปริมาณมาก (25 ลิตร) ลำไส้จะแตกมั้ย? คำถามนี้ต้องตอบก่อนจะไขว้เขวกันไปใหญ่ การเปิดน้ำเข้าสู่ลำไส้จะทำอย่างช้า ๆ เพื่อให้ลำไส้ค่อย ๆ ปรับสภาพรับน้ำยาที่ไหลเข้าไป โดยจะใช้เพียงแรงดึงดูดของโลกเท่านั้น ไม่มีแรงดันจากเครื่องหรือกลไกอื่น ขณะที่น้ำไหลเข้าลำไส้หากมีแรงดันสวนกลับออกมา ปลายท่อสวนที่มีวาล์วปิดอัตโนมัติจะทำให้น้ำหยุดไหล คนไข้สามารถเบ่งน้ำหรือของเสียออกได้ตลอดโดยไม่มีการปิดกั้นน้ำออก จึงไม่ต้องกังวลว่าน้ำจะเข้าไปเกินกว่าลำไส้จะรับไว้ได้ โดยปกติปริมาณของน้ำที่ไหลเข้าในลำไส้แต่ละครั้งไม่ถึง 1 ลิตร จากนั้นจะถูกขับออกมาพร้อมกับของเสีย การรับเข้าและถ่ายออกจะหมุนเวียนอยู่อย่างนี้จนน้ำหมด

ตอนทำเจ็บมั้ย? นี่ก็อีกคำถามยอดฮิต บอกเลยทุกขั้นตอนของการทำไม่เจ็บ อาจมีบ้างที่รู้สึกถึงการบีบรัดของกล้ามเนื้อลำไส้เพื่อขับน้ำและของเสียออก เป็นความรู้สึกในระดับปวดเบ่งหรืออยากผายลมเท่านั้น  ซึ่งอาการจะหายไปหลังขับถ่าย

ทำแล้วจะเสียเกลือแร่มั้ย? เออ...คิดเผินๆแล้วก็น่าจะ แต่จริงๆ แล้วของเสียที่ถูกขับออกมาเป็นอุจจาระที่ร่างกายได้ดูดซึมน้ำและเกลือแร่เอาไว้แล้ว ปริมาณเกลือแร่ที่จะสูญเสียออกจากร่างกายจึงเพียงเล็กน้อย และจริงๆ กว่าก็คือ ร่างกายจะดูดซึมเกลือแร่จากน้ำยาที่สวนเข้าไปทดแทนได้บางส่วน

จะท้องผูกหรือถ่ายเหลวมั้ย? ถ้าจริงนี่กลายเป็นว่านำปัญหามาสุมให้อีกนะเนี่ย ใจเย็นๆค่ะ บางคนหลังทำการบีบตัวของลำไส้อาจช้าลงเล็กน้อยทำให้ไม่ถ่าย แต่เป็นไม่นาน ลำไส้ก็จะกลับมาทำงานตามปกติ หรือบางคนหลังทำอาจมีอาการถ่ายเหลวเกิดขึ้นชั่วคราวจากน้ำส่วนเกินที่ยังคงตกค้างอยู่ในลำไส้ แต่เป็นแค่ระยะสั้นๆ

ใครบ้างที่ทำไม่ได้? ถ้ามีปัญหาสุขภาพต้องให้คุณหมอคอมเฟิร์มก่อนว่าทำแล้วปลอดภัย อย่ามั่นว่าชั้นแข็งแรงไม่เป็นไร แต่ถ้าอยู่ในข่ายต่อไปนี้ ก็ตัดใจซะ กำลังตั้งครรภ์ มีภาวะไตวาย เกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ ความดันโลหิตสูงหรือต่ำที่ยังควบคุมไม่ได้ เป็นโรคหัวใจขาดเลือด มีประวัติหัวใจล้มเหลวบ่อย ๆ  มีภาวะเส้นโลหิตโป่งพอง มีภาวะเลือดจางรุนแรง เป็นไส้เลื่อน มีลำไส้อุดตัน มีเลือดออกทางทวารหนักหรือถ่ายเป็นเลือด เพิ่งผ่าตัดช่องท้องมา  ผ่าตัดริดสีดวงทวาร เคยผ่าตัดลำไส้ใหญ่และเปิดลำไส้ออกทางหน้าท้อง เป็นต้น ก่อนทำคุณหมอจะซักประวัติทุกรายแหละ ไม่ว่าจะคนปกติหรือมีโรคประจำตัว ถ้าคุณหมอเซย์โน ก็อย่าดันทุรัง


สุดท้าย...ถามว่า "น่าอาย" มั้ย? อืมม์...บางคนบอกไปเปิดตูดให้คนอื่นดู ทำใจมะได้ อย่าคิดมากค่ะ ห้องหับที่ทำเค้ามิดชิด มีเเต่คุณหมอกับคุณพยาบาลเท่านั้น เเล้วเค้าก็มีจิตวิทยาที่จะทำให้คนไข้รู้สึกผ่อนคลาย ขณะทำก็จะคลุมท่อนล่างด้วยผ้าอย่างมิดชิด ไม่ได้เปิดโชว์อล่างฉ่างกลิ่นก็ไม่มีเล็ดรอดเพราะท่อระบายเป็นระบบปิด งานนี้รับรองไม่มีเสียหน้าค่ะ

วันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

สวนอุจจาระ กับ สวนล้างลำไส้ ต่างกันยังไง?

สองคำที่ชวน ง้ง งง ฟังดูคล้ายๆ กันประมาณเป็นวิธีการขจัดอุจจาระออกจากร่างกาย แต่จริง ๆ แล้วสองคำนี้ต่างกัน   อธิบายอย่างง่ายสุด   การสวนอุจจาระ (Enema)   เป็นการสวนทวารธรรมดา โดยใช้ของเหลวปริมาณน้อยสวนเข้าไปส่วนสุดท้ายของลำไส้ใหญ่ (ไส้ตรง) สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน   ขณะที่การสวนล้างสำไส้ (Colonic)   คือการใช้ของเหลวปริมาณมากหลายลิตรใส่เข้าไปในลำไส้ใหญ่เพื่อล้างสิ่งที่อยู่ภายในลำไส้ใหญ่ออกมาซึ่งทำเองไม่ได้ต้องใช้เครื่องล้างลำไส้

ขอขยายความแต่ละอัน เริ่มที่สวนอุจจาระก่อน วิธีนี้เขาทำกันตอนไหน ถ้าใครเคยเตรียมตัวเพื่อตรวจวินิจฉัย เช่น แพทย์นัดส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่ หรือต้องสวนแป้งเพื่อเอกซเรย์ดูลำไส้ใหญ่ ก่อนตรวจคุณจะโดนสวนอุจจาระ เพื่อขจัดอุจจาระที่ตกค้างหมักหมมอยู่ในลำไส้ออกไป ช่วยให้ลำไส้สะอาดขึ้น ลดการบดบังการมองเห็นขณะตรวจ ทำให้การตรวจวินิจฉัยมีความแม่นยำยิ่งขึ้น หรือกรณีคุณต้องเข้ารับการผ่าตัดบางอย่างแล้วแพทย์ให้มีการเตรียมลำไส้ เตรียมใจเลยว่าเดี๋ยวก็จะมีพยาบาลเข็นรถใส่อุปกรณ์สวนอุจจาระเข้ามา ที่ต้องทำก็เพื่อลดโอกาสเกิดการติดเชื้อหลังผ่าตัด ส่วนคนที่มีปัญหาท้องผูก บางคนแก้ปัญหาด้วยการสวนอุจจาระลดปริมาณอุจจาระที่อัดแน่นในลำไส้ ทำให้รู้สึกโล่งเบาสบายขึ้นก็มี

ทีนี้มาว่ากันถึงการสวนล้างลำไส้บ้าง เป็นวิธีล้างทำความสะอาดและขจัดของเสียหมักหมมในลำไส้ใหญ่ตลอดความยาว 150 ซม. ยาวขนาดนี้สวนล้างเองคงไม่รอด ต้องพึ่งเครื่องล้างลำไส้เท่านั้น น้ำที่ใช้จะเป็นน้ำเกลือแร่หรือกาแฟ ปริมาณต้องเยอะพอสมควร นั่นคือ 25 ลิตร โดยเครื่องจะควบคุมอุณหภูมิ ปริมาณ และการไหลของน้ำเข้าสู่ร่างกายอย่างเหมาะสม ก่อนทำก็ไม่ต้องเตรียมตัวใด ๆ ไม่ต้องงดอาหารหรือกินยาระบาย สะดวกสบายถ่ายกันบนเตียงที่นอนทำนั่นแหละ ไม่ต้องกลัวเลอะเทอะเปรอะเปื้อนด้วยเพราะไม่มีการถอดหลอดสวนออก น้ำและอุจจาระจะถูกขับออกข้างๆหลอดสวน

แล้วทำไมต้องล้างกันหมดไส้หมดพุงขนาดนี้ ว่ากันว่าคนสมัยนี้ชอบกินแต่อาหารขยะเส้นใยน้อยหรือไม่มีเส้นใย เช่น เนื้อสัตว์ ไขมัน แป้งขัดขาว ซึ่งจะกลายสภาพเป็นตะกรันเหนียวหนับจับผนังลำไส้ ถ่ายทุกวันก็ใช่ว่าจะหมด ก่อให้เกิดสารพิษที่อาจส่งผลร้ายต่อร่างกาย จึงต้องสวนล้างลำไส้ล้างพิษออกไป เป็นการดีท็อกซ์ด้วยเครื่องล้างลำไส้ ทันสมัยจริงๆ
            
        เดี๋ยวนี้ยังมีการนำวิธีสวนล้างลำไส้ด้วยเครื่องไปประยุกต์ใช้กับการสวนอุจจาระด้วยล่ะ ครีเอทสุด ๆ ทำให้การสวนอุจจาระเพื่อเตรียมตรวจหรือผ่าตัดสะดวกสบายขึ้น ขั้นตอนการทำเหมือนกันทุกอย่าง ต่างกันแค่ปริมาณน้ำที่ใช้ จะใช้แค่ 2 ลิตรเท่านั้น โดยแพทย์จะสอดหลอดสวนเข้าทางทวารหนักลึกประมาณ 2 นิ้ว เปิดให้น้ำเกลือที่อุ่นพอเหมาะไหลเข้าลำไส้ช้า ๆ เมื่อรู้สึกอยากถ่าย ให้ถ่ายได้ทันทีโดยไม่ต้องกลั้น เมื่อถ่ายจนโล่งแพทย์จะปล่อยให้น้ำเข้าไปอีก ทำซ้ำจนน้ำเกลือหมดจึงจะถอดสายสวนออก


         ใครเคยทำวิธีไหนมาบ้างแล้ว มาแชร์ประสบการณ์กันได้นะคะ

วันอังคารที่ 10 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ว้าว! เย็นจัด...ก็ขจัดไขมันได้

            ใครที่คิดว่าจะขจัดไขมันต้องใช้อะไรร้อน ๆ มาสลาย เปลี่ยนความคิดของคุณซะ เอ๊าท์แล้วจ้าสลายไขมันด้วยความเย็น หรือชื่อภาษาอังกฤษเก๋ ๆ ว่า CoolSculpting มาแรงแซงโค้ง ณ เพลานี้ ฉะนั้นทำความรู้จักไว้ซะ เดี๋ยวจะตกเทรนด์!!!

นวัตกรรมนี้มายังไงน่ะเหรอ? 
ต้องขอบคุณความช่างสังเกตของคุณหมอจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด 2 ท่าน ที่พบว่าเด็กๆ ที่ชอบทานไอติมแท่งมักเกิดรอยบุ๋มของชั้นไขมันที่แก้มแบบลักยิ้ม ผนวกกับภาวะทางการแพทย์อย่างหนึ่งในคนที่ออกไปขี่ม้าในช่วงอากาศหนาวจัดแล้วไม่ใส่เสื้อผ้าหรืออุปกรณ์ป้องกันความเย็นมากพอ ก็จะเกิดผื่นจากการอักเสบของชั้นไขมันบริเวณต้นขาส่วนบนด้านนอกที่ปะทะกับความเย็น ภาวะอย่างนี้คนเมืองร้อนอย่างบ้านเราไม่เคยเห็น แต่บ้านเค้าอากาศมันหนาวจัดไงก็เลยเจอ พอมีข้อมูลอย่างนี้ฝรั่งเค้าก็ไม่ปล่อยผ่าน จัดแจงเอาไปต่อยอดกับความรู้เดิมที่ว่า “เซลล์ไขมันมีความไวต่อการโดนทำลายด้วยความเย็นมากกว่าเซลล์อื่นๆ” แล้วทำการศึกษาต่อบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่าความเย็นในระดับที่เหมาะสมและควบคุมได้สามารถนำไปสู่นวัตกรรมในการลดไขมันสะสมใต้ผิวหนัง สำเร็จเป็นนวัตกรรมสลายไขมันที่มีประสิทธิภาพจนต้องนำมาบอกต่อนี่แหละ 


ถ้าคุณผู้หญิงมีไขมันสะสมใต้ผิวหนังเฉพาะบริเวณ ยิ่งบริเวณที่เห็นเป็นก้อน หรือเป็นชั้นไขมันชัดเจน แนะนำ CoolSculpting ค่ะ ถามว่าถ้าจะรักษาด้วย สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ อื่น ๆ ทำได้มั้ย คำตอบคือ ได้ แต่ขอบอก CoolSculpting เป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงกว่า สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ อื่นๆ

หลักการต่างผลลัพธ์ก็ย่อมต่าง  สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ จะใช้หัวนวด หรือหัวดูด ปล่อยพลังงานเข้าไปทำให้เซลล์ไขมันมีการสลายไป แต่ไม่ถึงขนาดทำให้เซลล์ไขมันตาย พูดง่ายๆก็คือเพียงกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญได้เร็วขึ้น ทำให้ไขมันมีขนาดเล็กลง ขณะที่ CoolSculpting จะใช้หัวดูดดูดทั้งผิวหนังและไขมันสะสมใต้ผิวหนังแล้วปล่อยความเย็นไปทำลายเซลล์ไขมัน เรียกว่า เน้นทำลายเซลล์ไขมัน หลังทำพบว่าเซลล์ไขมันมากถึง 20-25% จะถูกทำลาย ซึ่งเซลล์ไขมันที่ตายแล้วจะค่อย ๆ ถูกกำจัดออกผ่านกระบวนการตามธรรมชาติ
เห็นผลเร็วกว่า ขณะที่ สลิมมิ่ง ทรีทเม้นต์ อื่น ๆ ต้องทำต่อเนื่องเป็นคอร์สถึงจะเริ่มเห็นผล CoolSculpting กลับเห็นผลการรักษาได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่ทำการรักษา แล้วถ้ายังไม่พอใจผลก็มาทำซ้ำในตำแหน่งเดิมที่ยังมีไขมันสะสมได้อีก โดยเซลล์ไขมันจะลดลง 20-25% ในแต่ละครั้งที่ทำ แต่อย่าใจร้อน ถ้าจะรักษาในตำแหน่งเดิม ควรเว้นระยะห่างจากครั้งก่อนอย่างน้อย 2 เดือน

สำรวจตัวเอง! ถ้ามีไขมันสะสมในตำแหน่งต่อไปนี้ CoolSculpting ช่วยคุณได้
-   ไขมันสะสมบริเวณหน้าท้องส่วนบนหรือใต้อก
-   ไขมันหน้าท้องส่วนล่าง (ท้องน้อย) 
-   ไขมันสะสมข้างลำตัวเห็นเป็นชั้นหรือก้อนเหนือ/ใต้แนวบรา
-   ไขมันบริเวณเอว
-   ไขมันบริเวณต้นขาด้านในที่เป็นก้อนและทำให้ผิวเสียดสีกันเวลาเดินจนเกิดเป็นแผล
-   ไขมันที่ท้องแขน

การรักษาด้วย CoolSculpting จะใช้เวลาต่อเนื่อง 60 นาทีต่อหนึ่งพื้นที่ของหัวดูด  ขณะทำจะรู้สึกเย็น ตึง เจ็บเล็กน้อย และค่อย ๆ ชาในบริเวณที่ทำ หลังทำผิวหนังจะเย็น แดง อาจเกิดรอยช้ำและแข็งนูนได้ ซึ่งอาการต่าง ๆ เหล่านี้จะหายไปเองภายใน 2 สัปดาห์ ผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยคืออาการคันหรือรู้สึกว่าผิวแห้งตึงมากกว่าปกติ ควรทาครีมให้ความชุ่มชื้นและลดการขัดถูหรือระคายเคืองต่อผิว อาการชาบริเวณผิวหนังที่ทำการรักษาเป็นผลข้างเคียงที่พบได้ในช่วง 4 – 6 สัปดาห์แรก ซึ่งจะค่อย ๆ หายเป็นปกติ สำหรับผลการเปลี่ยนแปลงของรูปร่างจะเริ่มเห็นได้ตั้งแต่ 3 สัปดาห์ และให้ผลสูงสุดหลังการรักษา 3-4 เดือน

                
            ข้อจำกัดในการทำก็มีอยู่บ้าง ซึ่งก่อนรักษาแพทย์จะประเมินสภาพของคนไข้ทุกคนอยู่แล้ว ส่วนเรื่องความปลอดภัยก็ไม่ต้องกังวล การรักษาด้วย CoolSculpting ได้รับการรับรองจากองค์การอาหารและยา (FDA) ทั้งของสหรัฐและไทย การใช้หัวดูดก็ไม่ทำให้เกิดบาดแผลใดๆ แถมท้ายอีกนิด...หลังทำเสร็จสามารถกลับไปปฏิบัติภารกิจประจำวันได้ทันที 
           เจ๋งอย่างนี้ขอส่งท้ายด้วยคำว่า ว้าว ไม่ว่ากันนะคะ

วันอาทิตย์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

บ๊าย บาย...ไขมันส่วนเกิน

ตั้งชื่อเรื่องปลุกกำลังใจกันก่อน หลายคนบอกว่ารีดไขมันส่วนเกินนั้นยากเย็นแสนเข็ญเหลือเกิน แหม ก็ปากบอกว่าอยากลดๆ แต่ยังตามใจปาก ออกกำลังกายก็ไม่เอาบอกเหนื่อย แล้วมาบ่นลดยากอย่างโง้นอย่างงี้ บอกเลยถ้าอยากรีดไขมันแล้วได้ผลจริงๆ ต้องตั้งใจจริงแล้วก็มีวินัยสม่ำเสมอเพราะการขจัดไขมันเป็นเรื่องที่ต้องใช้เวลา กระทั่งเซลลูไลท์และไขมันส่วนเกินที่พอกอยู่ตามจุดต่างๆ เช่น ท้องแขน, รอบเอว, ต้นขาด้านใน-ด้านนอก, สะโพก, แก้มก้น, น่อง, ลำคอ, ใต้คาง ที่ว่ากันว่าลดยากสุดๆ ถ้าคุณตั้งใจจริงวินัยไม่หย่อน ก็ไม่เกินรับมือค่ะ

เซลลูไลท์และไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดเป็นไขมันดื้อด้านขจัดยาก ฉะนั้นถ้าตั้งใจลดแล้วช่วงแรกเห็นผลช้า ต้องอดทนอย่ารีบถอดใจซะก่อน ในการขจัดไขมันที่ลดยากนี้ทำได้ 2 ทางคือ คุณต้องพึ่งตนเองหรือพยายามลดด้วยตัวเองก่อน ส่วนอีกทางก็พึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งจะช่วยให้เห็นผลเร็วขึ้น  

ลดด้วยตัวเองก่อน ดั่งคำพระที่ว่า “ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน” นั่นแหละ ข้อดีของการพยายามลดด้วยตัวเองคือ ความภูมิใจ ยิ่งลดได้ความมั่นใจยิ่งมา มาดูกันค่ะว่าอะไรที่คุณทำได้ด้วยตัวเอง

ควบคุมอาหาร คนละความหมายกับอดอาหารนะคะ อย่าอดอาหาร กินให้ครบ 3 มื้อหรือจะซอยเป็นมื้อเล็ก ๆ 5 มื้อก็ได้ กินให้ครบ 5 หมู่ เน้นผัก ผลไม้ เลี่ยงอาหารที่มีแคลอรีสูง ให้ยึดหลัก “พลังงานที่รับเข้า” น้อยกว่า “พลังงานที่ใช้” ซึ่งโดยเฉลี่ย ผู้หญิงต้องการพลังงานแค่ 1,600 กิโลแคลอรี/วัน ถ้าเรากินเกินกว่านั้น พลังงานส่วนเกินจะถูกเปลี่ยนไปเป็นไขมันสะสม แต่ถ้ากินน้อยกว่านั้นไขมันสะสมก็ลดลงได้


         ออกกำลังกาย เลือกออกกำลังกายแบบแอโรบิก ควรทำทุกวัน วันละ 30 – 60 นาที อย่าขี้เกียจหรือมีข้ออ้างโน่นนั่นนี่ แต่ก็อย่าหักโหมเกินไปจนบาดเจ็บ การออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายดึงไขมันส่วนเกินออกมาใช้ ซึ่งตามธรรมชาติร่างกายจะดึงไขมันจากทุกส่วนไม่ได้ดึงเฉพาะจุด ตั้งใจออกกำลังกายให้เป็นกิจวัตร ถ้าทำได้ต่อเนื่องไขมันจะค่อย ๆ ลดลงไปเอง




สองวิธีนี้ต้องมีวินัยมากๆและควรทำไปพร้อมกัน แต่ถ้าลดไม่ได้อย่างที่ต้องการแล้วคิดพึ่งยาลดน้ำหนัก ควรปรึกษาแพทย์ อย่าซื้อยามากินเอง ยิ่งสมัยนี้ยาลดน้ำหนักมีขายกันเกลื่อนเว็บ ต้องระมัดระวัง ดีที่สุดก็พบแพทย์นั่นแหละ สำหรับยาลดน้ำหนักจะช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยลดความหิว ความอยากอาหาร แพทย์จะปรับขนาดของยาให้เหมาะกับแต่ละคนเพื่อความปลอดภัย แต่ถึงใช้ยาลดน้ำหนักก็ยังต้องควบคุมอาหารและออกกำลังกายด้วย



      ถ้าทำอย่างที่แนะนำไป รูปร่างเริ่มดูดีขึ้น ไขมันที่เคยพอกๆตามส่วนต่างๆเริ่มหายไปล่ะ ใครเห็นก็ทักไปทำอะไรมาทำไมรูปร่างดูเพรียวขึ้นได้สัดส่วนขึ้น ก็ปลื้มใจอยู่หรอกนะ แต่ถ้ายังมีไขมันพอกนูนในบางจุด ผิวไม่กระชับ หรือยังเห็นเซลลูไลท์โชว์หราอยู่เลย คุณผู้หญิงส่วนใหญ่มักไม่ค่อยพอใจ อย่างงั้นก็ต้องพึ่งเทคโนโลยีกระชับสัดส่วน หรือขจัดเซลลูไลท์ ซึ่งมีให้เลือกหลายตัว

      ขอแนะนำตัวนี้ก่อนเลย VASER จะใช้พลังงานเสียงส่งผ่านไปทำลายเฉพาะก้อนไขมันให้เหลวแล้วดูดออก ซึ่งจะเกิดอาการช้ำและปวดหลังทำน้อยกว่าการดูดไขมันแบบเดิมมาก
Body Reshape เป็นการใช้คลื่นความถี่วิทยุช่วยขจัดไขมันส่วนเกิน และลดเซลลูไลท์ หรืออีกหนึ่งตัวช่วยที่ลดเซลลูไลท์ได้ผลดีคือ Keymodule เป็นการใช้หัวนวดกลิ้งไปตามผิวโดยมีแรงดูดและแรงนวดประสานกันอย่างพอเหมาะ ช่วยปรับโครงสร้างของผิวและเนื้อเยื่อที่เป็นก้อนไขมัน ทำให้ผิวเนียนเรียบ


VelaShape2 จะใช้พลังงานความร้อนจากแสงอินฟราเรดและคลื่นวิทยุ ร่วมกับระบบสุญญากาศและการนวด เพิ่มการเผาผลาญไขมันใต้ผิว และขับออกไปตามระบบน้ำเหลือง
Accent Ultra หรือ Ultra Slim ก็เป็นอีกตัวเลือกที่น่าสนใจ โดยจะเป็นการใช้คลื่นอัลตราซาวด์ไปทำให้เซลล์ไขมันแตกสลาย เพิ่มการเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนัง 
ส่วน INDIBA เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการเผาผลาญไขมันโดยใช้ความร้อนจากคลื่นวิทยุ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนและอิลาสติน ทำให้ผิวหนังเรียบเนียนกระชับขึ้น
ตัวสุดท้ายที่อยากแนะนำคือ การใช้แก๊สคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ไปทำให้เกิดขบวนการสลายของเซลล์ไขมัน วิธีนี้เรียกว่า Carboxy therapy จะช่วยลดสัดส่วนเฉพาะที่ได้ค่ะ
มีตั้งหลายวิธีอย่างนี้ ไม่ต้องเวียนหัวว่าจะใช้วิธีไหนดี เดี๋ยวคุณหมอจะแนะนำเองค่ะ ว่าควรใช้วิธีไหนที่ตรงกับปัญหาของคุณ บางทีอาจต้องใช้มากกว่าหนึ่งวิธี


หุ่นเฟี้ยวแล้ว ก็กลับมาพอกใหม่ได้นะเออ ยังไงก็ต้องระวังเรื่องอาหารการกิน และไม่ละเลยออกกำลังกายด้วยค่ะ  


วันพุธที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

ไขมัน (เกิน)...ใคร ๆ ก็ไม่ปลื้ม

ผู้หญิงย่อมห่วงสวยเป็นธรรมดา ไม่ต้องถึงขนาดรูปร่างอ้วนเผละเป็นตุ่มต่อขา แค่ส่องกระจกเห็นไขมันส่วนเกินพอกตรงนู้นตรงนี้ ลองบีบผิวหนังดูเห็นเป็นคลื่นผิวส้ม กรี๊ดดดด...เซลลูไลท์ โอ๊ยย รับไม่ด้ายยยยย

ไขมันส่วนเกินเฉพาะจุดกับเซลลูไลท์ ปัญหาปวดใจของผู้หญิงตั้งแต่วัยรุ่นยันวัยร่วง เกิดจากวิถีชีวิตของคนสมัยนี้ที่เปลี่ยนไป คือมีความเป็นอยู่เร่งรีบขึ้น กินแต่อาหารขยะที่มีไขมันและน้ำตาลสูง ไม่มีเวลาออกกำลังกาย ร่างกายจึงได้รับพลังงานจากอาหารมากกว่าพลังงานที่ใช้ไป ส่งผลให้เกิดการสะสมของไขมันผิดปกติภายใต้ชั้นผิวหนัง ช่วงวัยรุ่นอาจโชคดีหน่อยเนื่องจากอายุยังน้อยระบบเผาผลาญดี มีกิจกรรมโน่นนั่นนี่ตลอด ปัญหาไขมันสะสมจึงอาจยังเห็นไม่ชัด ครั้นอายุมากขึ้นเข้าสู่วัยผู้ใหญ่แต่ยังดำเนินชีวิตแบบเดิม ๆ ทีนี้ระบบเผาผลาญมันไม่ได้ดีอย่างเดิมแล้วไง กินสังสรรค์เฮฮากับเพื่อนฝูงก็บ๊อยบ่อย อย่างนี้ได้ เซย์...ฮัลโหล กับไขมันส่วนเกินและเซลลูไลท์แน่ๆ

แล้วจะบอกว่าเซลลูไลท์และไขมันส่วนเกินที่พอกอยู่ตามจุดต่างๆ เช่น ท้องแขน, รอบเอว, ต้นขาด้านใน-ด้านนอก, สะโพก, แก้มก้น, น่อง, ลำคอ, ใต้คาง เป็นอะไรที่ลดยากสุดๆ อาศัยแค่ควบคุมอาหารและออกกำลังกายอาจขจัดได้เพียงบางส่วน บางทีต้องพึ่งเทคโนโลยีทางการแพทย์ ซึ่งเรื่องนี้จะขอพูดถึงวันหลัง 

ตอนนี้อยากฝากไปถึงน้องๆ หรือคุณผู้หญิงที่หุ่นยังปิ๊งยังเฟริ์มอยู่ (เย้...ดีใจด้วยค่ะ) ว่าอย่าประมาทกันล่ะ ยิ่งถ้าวัยเพิ่มมากขึ้นยิ่งต้องระวัง การคงรูปร่างให้เพรียวสวยได้สัดส่วนไม่มีไขมันสะสมหรือเซลลูไลท์ จะว่าเป็นเรื่องยากก็คงไม่ใช่ซะทีเดียวถ้าคุณผู้หญิงมีวินัยมากพอ เอาเป็นว่าขอให้ใส่ใจ 2 อ.นี้ให้เป๊ะ คุณก็จะคงรูปร่างที่สวยงามเอาไว้ได้


อ. "อาหาร"
เคยได้ยินคำกล่าวที่ว่า You are what you eat กินอะไรก็เป็นอย่างนั้น” มั้ย อยากรูปร่างดีไร้ไขมันส่วนเกินต้องรู้จักเลือกกิน กินให้ครบ 5 หมู่ ผอมแต่ขาดสารอาหารก็ไม่ไหว 
ควรกินอาหารธรรมชาติไม่แปรรูป เช่น เมล็ดธัญพืชต่าง ๆ เมล็ดฟักทอง เมล็ดทานตะวัน งา ถั่วต่าง ๆ เป็นต้น
กินผักผลไม้สดที่รสไม่หวานให้มาก เส้นใยอาหารในผัก ผลไม้ จะช่วยให้ไขมันจากอาหารถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายลดลง ทำให้รู้สึกอิ่มเร็วอิ่มนาน เราก็จะกินน้อยลงไปโดยปริยาย
เลี่ยงอาหารที่ไขมันหรือน้ำตาลสูง เช่น อาหารทอด ๆ ผัด ๆ เนื้อติดมันหรือส่วนที่เป็นหนัง อาหารที่ปรุงด้วยกะทิ ขนมหวาน น้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมจุบจิบ 
กินโปรตีนจากเนื้อปลา ถั่วเมล็ดแห้งและผลิตภัณฑ์ เช่น เต้าหู้ ถ้าเป็นเนื้อสัตว์อื่น เช่น เนื้อไก่ เนื้อหมู เนื้อวัว เลี่ยงที่ติดมันหรือส่วนที่เป็นหนัง
กินให้ครบ 3 มื้อตามปกติ กินแต่ละมื้อแค่พออิ่ม เลี่ยงพฤติกรรมที่จะส่งเสริมให้อ้วนได้ง่าย เช่น กินอาหารเย็นใกล้เวลานอน, นั่งเฉย ๆ หลังกินเสร็จ, กินไปทำกิจกรรมอย่างอื่นไปด้วย
ค่อย ๆ กินช้าๆเพราะศูนย์ควบคุมความหิว-ความอิ่มที่สมองจะรับรู้ว่ากินอิ่มใช้เวลาไม่น้อยกว่า 15 นาที
     
                          อ. "ออกกำลังกาย"

      สำคัญนะจะบอกให้ ร่างกายได้เผาผลาญพลังงานออกไป ช่วยให้ฟิตแอนด์เฟิร์มและรักษารูปร่างให้คงที่ เอ้า...มา อัพ แอนด์ ดาวน์ กันเถอะ
    หาเวลาออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 15-30 นาที ถ้าจะให้ดีควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิก เพราะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้ดี จะวิ่ง ตีเทนนิส เล่นฟุตบอล เล่นบาสเกตบอล ฯลฯ ได้ทั้งนั้น หรือจะเล่นกีฬาอย่างอื่น เลือกที่คุณชอบหรือรู้สึกสนุกจะได้เล่นได้ทุกวันไม่เบื่อไปซะก่อน อ้อ..จะเลือกกีฬาไหนให้เหมาะกับวัยและสุขภาพด้วย อย่าฝืนล่ะ
 ให้กิจกรรมในชีวิตประจำวันช่วยเผาผลาญพลังงานก็เป็นแนวคิดที่เก๋ไม่หยอก เช่น ทำงานบ้าน เดินขึ้นบันไดแทนการใช้ลิฟท์ เดินไปที่ป้ายรถประจำทาง ลงรถก่อนถึงป้ายแล้วเดินกลับบ้าน เป็นต้น    

 สุดท้ายฝากไว้ 
 2 อ. นี้หนีบกันไปเลยเป็นแพ็คคู่ ถ้าเอาแต่ตามใจปากออกกำลังกายให้ตายยังไงก็ไม่ผอม เคร่งครัดเรื่องอาหารแต่ไม่ออกกำลังกาย ถึงไม่อ้วนแต่รูปร่างไม่ฟิตแอนด์เฟิร์ม สอบตกเป็นหญิงยุคใหม่ไม่รู้ด้วยนะ