วันอังคารที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2559

แพทย์แผนจีน...ไม่ได้มีแค่การฝังเข็มนะเออ

พูดถึงการรักษาด้วยแพทย์แผนจีน เชื่อเหอะคนส่วนใหญ่มักจะคิดถึงการฝังเข็ม จริงๆ แล้วการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนมีหลายวิธี การฝังเข็มเป็นแค่วิธีหนึ่ง แต่ในบ้านเราคนนิยมฝังเข็มมันเยอะไง คนส่วนใหญ่ก็เลยคุ้นหูกับคำๆ นี้ พอถามว่ารู้จักแพทย์แผนจีนมั้ย คิดไรไม่ออกตอบฝังเข็มเพลย์เซฟไว้ก่อน แต่อย่างที่บอกว่าการรักษาของแพทย์แผนจีนมีหลายวิธี บางวิธีรู้แล้วอาจจะร้อง โอ้ว มีวิธีอะไรยังงี้ด้วยเหรอ เอาล่ะ เวิ่นเว้อมามากล่ะ ขอแจกแจงวิธีการรักษาของแพทย์แผนจีนให้ทราบเลยล่ะกัน



ไหนๆ ก็พูดถึง การฝังเข็ม แล้ว งั้นมาดูเรื่องการฝังเข็มกันก่อน
ตามหลักแพทย์แผนจีนนั้นร่างกายของคนเราจะมีเส้นลมปราณโดยมีลมปราณไหลเวียนอยู่ตลอดเวลา หากมีการติดขัดที่จุดใดทำให้ลมปราณไหลเวียนไม่สะดวก จะส่งผลให้เกิดอาการของโรคขึ้นได้ การฝังเข็มโดยใช้เข็มปักเข้าไปยังตำแหน่งต่างๆ ของร่างกายในตำแหน่งที่เป็นจุดเฉพาะ จะทำให้ลมปราณกลับมาไหลเวียนตามปกติ ทำให้อาการผิดปกติหรือโรคที่เป็นดีขึ้น การฝังเข็มแต่ละครั้งจะใช้เวลาประมาณ 20 – 30 นาที ควรทำการรักษาทุกวันหรือ 2 -3 ครั้งต่อสัปดาห์ การฝังเข็มจำเป็นต้องทำซ้ำหลายๆครั้ง ส่วนจะกี่ครั้งก็ขึ้นอยู่กับชนิดและความรุนแรงของโรค อย่างไรก็ตาม ผลการรักษาของคนไข้แต่ละคนจะได้ผลดีไม่เท่ากัน ขึ้นกับการตอบสนองต่อการฝังเข็มที่แตกต่างกัน ระยะเวลาที่เป็นโรคนั้น และสภาพร่างกายของคนไข้เอง

การรมยา เป็นการรักษาโดยอาศัยความร้อนที่เผาตัวยาสมุนไพร แล้วส่งผ่านความร้อนเข้าสู่ชั้นผิวหนัง ช่วยให้ความอบอุ่นแก่เส้นลมปราณ เกิดการไหลเวียนของชี่และเลือด ขับความชื้นและความเย็นในร่างกาย ปรับสมดุลของการทำงานของอวัยวะต่างๆ วิธีการคือจะจุดไฟที่แท่งยาเพื่อให้ความร้อนจากตัวยาเข้าสู่ร่างกาย ทำได้ 2 วิธีคือ


-  รมยาคู่กับการฝังเข็ม เมื่อปักเข็มที่จุดฝังเข็มแล้วจะตัดแท่งยาออกเป็นก้อนเล็กๆ เสียบเข้าที่ปลายเข็ม จุดไฟที่แท่งยา ความร้อนจะนำพาตัวยาผ่านปลายเข็มเข้าสู่จุดฝังเข็มแล้วเข้าในเส้นลมปราณ ทำให้ลมปราณไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น
 การใช้แท่งยารมโดยตรง ที่รอยโรคหรือจุดชีพจรต่างๆ ช่วยให้เลือดลมบริเวณนั้นไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น

ครอบแก้ว เป็นการรักษาโดยใช้แก้วสีใส สะอาด แล้วใช้ความร้อนไล่อากาศภายในแก้วออกเพื่อลดความดันภายใน จากนั้นครอบลงบนผิวหนังตรงตำแหน่งรอยโรค เช่น บริเวณหลัง แก้วจะดูดผิวหนังและกล้ามเนื้อขึ้นมา คนไข้จะรู้สึกตึงบริเวณผิวหนังที่ถูกครอบแก้ว เวลาที่ใช้ในการครอบแก้วนานประมาณ 5 – 10 นาที โดยความร้อนภายในแก้วจะทำให้รูขุมขนในบริเวณดังกล่าวเปิดออก และเกิดการแลกเปลี่ยนความร้อนกับความชื้นและความเย็นภายในผิว ส่งผลให้เลือดลมภายในไหลเวียนได้สะดวกมากขึ้น


กวาซา ฟังชื่อแล้วคงงง ๆ กวาซาคือการขูดเพื่อขจัดพิษของเสียออกมาทางผิวหนัง กระตุ้นระบบหมุนเวียนเลือดใต้ผิวหนัง ขยายรูขุมขนให้เปิดกว้างทำให้ร่างกายผลัดเซลล์เก่าสร้างเซลล์ใหม่ ส่งเสริมการไหลเวียนพลังชี่ในร่างกาย โดยคุณหมอจะทาน้ำมันกวาซา น้ำมันนวด โลชั่นลงบนตำแหน่งที่จะทำการรักษา แล้วใช้แผ่นกวาซาขูดไปบนผิวหนัง รอยแดงที่เกิดขึ้นจากการขูดจะจางหายไปได้เองภายใน 1 – 2 สัปดาห์

ทุยหนา ฟังชื่อคงมีงงกันอีกรอบ จริงๆ มันก็คือ การนวด คุณหมอใช้ท่านวดลักษณะต่างๆ นวดลงบนจุดลมปราณ หรือตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย หรือขยับร่างกายบางส่วน เพื่อปรับการทำงานของอวัยวะต่างๆ ให้สมดุล หรือช่วยส่งเสริมสุขภาพ การทุยหนาต่างกับการนวดเพื่อผ่อนคลายทั่วไป ถ้าเป็นการนวดทั่วไปจะใช้เวลานาน แต่การทุยหนาจะเน้นการรักษา ใช้เวลาเพียง 5 – 20 นาทีเท่านั้น ใช้เวลามากน้อยขึ้นกับโรคที่เป็น


เมล็ดผักกาดแปะหู วิธีนี้ดัดแปลงมาจากการฝังเข็มหูโดยใช้เมล็ดผักแทน จะเรียกว่าเป็นการฝังเข็มตลอดเวลาก็ได้นะ โดยการใช้เมล็ดผักหรือเมล็ดพืชที่มีความแข็ง มีผิวเรียบ กลมมน ไม่เป็นตะปุ่มตะป่ำ มาติดที่ใบหูและส่วนรอบๆ หูเพื่อเป็นจุดให้กดกระตุ้น แล้วทำไมต้องแปะที่หู นั่นก็เพราะตามตำราแพทย์จีนโบราณถือว่า หู มีความสัมพันธ์กับเส้นลมปราณและอวัยวะในร่างกายของคนเราค่ะ
 
การใช้ยาสมุนไพรจีน รูปแบบยาที่ใช้รักษาจะมีหลายแบบ เช่น ยาต้ม ยาดองเหล้า ยาแคปซูล ยาลูกกลอน ยาผง เป็นต้น คุณหมอจะจ่ายยาให้สอดคล้องกับลักษณะและอาการโรคของคนไข้  โดยยาจะเข้าไปรักษาและบำรุงร่างกาย ช่วยขับของเสีย ขับพิษ ทำให้เลือดลมเดินตามปกติ ระบบเลือดและระบบประสาททำงานได้ตามปกติ

จริงๆ แล้วการรักษาด้วยแพทย์แผนจีนยังมีวิธีอื่นๆ อีก เช่น การปล่อยเลือด คิดเหมือนกันมั้ยคะว่า ช่างเป็นศาสตร์ที่มีรายละเอียดให้เรียนรู้ได้ไม่จบสิ้น อ้อ...แล้วถ้าใครสงสัยว่าไปหาหมอจีนจะรักษาด้วยวิธีไหนมั่ง ดูเยอะแยะไปหมด ในการรักษาคุณหมออาจใช้แค่วิธีเดียว เช่น ฝังเข็ม ถ้าอาการดีขึ้น ก็จบ แต่ถ้าประเมินแล้ววิธีเดียวคงไม่พอก็จะใช้วิธีอื่นร่วมด้วย ทั้งนี้ก็ขึ้นกับโรคหรืออาการที่คนไข้เป็นนั่นแหละ ส่วนระยะเวลาในการรักษาขึ้นกับอาการของโรคว่าเป็นมากหรือน้อยเพียงใด

ขอบคุณภาพประกอบ  :  รพ.ยันฮี

วันอาทิตย์ที่ 24 มกราคม พ.ศ. 2559

มุมมองแพทย์แผนจีน

ถึงจะไม่ใช่คอนิยายกำลังภายใน แต่เชื่อว่าคนบ้านเราคงจะคุ้นหูกับคำว่าแพทย์แผนจีนอยู่พอสมควร เดี๋ยวนี้การแพทย์แผนจีนเป็นที่นิยมมากขึ้น ไม่เฉพาะในบ้านเราแต่ในหลายๆ ประเทศทั่วโลก เวลาเจ็บป่วยมีคนไข้จำนวนไม่น้อยที่นอกจากจะรักษากับหมอแผนปัจจุบันแล้ว ยังหันพึ่งการแพทย์ทางเลือกอย่างแพทย์แผนจีน ที่คุ้นเคยหน่อยเห็นจะเป็นการฝังเข็มนั่นแหละ การรักษาโรคควบคู่กันทั้งแผนใหม่แผนจีนยังงี้ ถามว่าทำได้มั้ย ทำได้ค่ะ แถมองค์การอนามัยโลก (WHO) ยังให้การรับรองด้วย



ขอบอกเลยว่า การแพทย์แผนจีนไม่ได้ไก่กาอาราเร่นะจ๊ะ ศาสตร์นี้มีประวัติย้อนไปไกลกว่าห้าพันปี การที่ยังสืบทอดยืนยงมาถึงทุกวันนี้ได้ แถมความนิยมก็ไม่ได้ลดน้อยถอยลง คงเป็นบทพิสูจน์ได้ว่านี่แหละของจริง

หลักการของแพทย์แผนจีนคืออะไร ถ้าจะอธิบายง่ายๆ เอาแบบไม่อ่านไปก่ายหน้าผากไป ก็คงต้องบอกว่าศาสตร์แพทย์แผนจีนเค้าจะเน้น “การปรับสมดุล” ของร่างกายเป็นหลัก ด้วยความเชื่อที่ว่า การที่ร่างกายของคนเราเกิดโรคหรืออาการเจ็บป่วยขึ้นนั้นเป็นเพราะร่างกายเกิดภาวะเสียสมดุล ดังนั้นหากสามารถทำให้ร่างกายกลับคืนสู่ภาวะสมดุลได้ ร่างกายก็จะกลับมาแข็งแรงจนสามารถกำจัดโรคได้ด้วยตนเอง โรคหรืออาการผิดปกติต่างๆ ก็จะหายไป

จากหลักการดังกล่าว ศาสตร์แพทย์แผนจีนจึงสามารถรักษาได้เกือบทุกโรค ขอยกอาการหรือโรคเด่นๆ ที่คนรู้จักกันเยอะๆ มาให้ดูเป็นตัวอย่างล่ะกัน
-   ปวดศีรษะ, ไมเกรน, ภูมิแพ้
-   เบาหวาน, ความดันโลหิตสูง
-   โรคเกี่ยวกับระบบประสาท อัมพฤกษ์ อัมพาต เส้นเลือดตีบ
-   อาการปวดต่างๆ เช่น กล้ามเนื้ออักเสบ, ปวดเส้น, สะบักจม, ปวดต้นคอบ่าไหล่, ปวดหลัง, ปวดเอวร้าวลงขา หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท, ปวดเข่า, ข้อเข่าเสื่อม, ปวดฝ่าเท้า (โรครองช้ำ), ปวดข้อไหล่, ไหล่ติด, ปวดข้อศอก, โรคไขข้ออักเสบ เป็นต้น
-  ปวดประจำเดือน รอบเดือนมาไม่ปกติ มีบุตรยาก อาการวัยทอง
-  โรคเกี่ยวกับระบบลำไส้
-  โรคซึมเศร้า โรคเกี่ยวกับความเครียด คิดมาก วิตกกังวล นอนไม่หลับ
-   อ่อนเพลียเรื้อรัง

นี่ยกตัวอย่างมาพอหอมปากหอมคอ ใครมีอาการผิดปกตินอกเหนือไปจากนี้ก็ไปรักษาได้ แต่ก่อนจะทำการรักษาด้วยแพทย์แผนจีน คุณหมอจะทำการตรวจวินิจฉัยก่อน ก็คล้ายๆ กับแพทย์สมัยใหม่นั่นแหละ ต้องตรวจหาก่อนว่าต้อตอปัญหามันอยู่ที่ไหนจะได้รักษาได้ตรงจุด แต่การตรวจวินิจฉัยไม่ต้องเจาะเลือด เอกซเรย์ หรืออื่นๆ เหมือนที่เราเคยๆ ทำกัน แต่จะใช้การตรวจวินิจฉัยตามหลักแพทย์แผนจีน ตั้งแต่
การดู คุณหมอจะสังเกตสิ่งผิดปกติที่เกิดขึ้นภายนอก เช่น ดูลิ้น สีหน้า ท่าทาง ลักษณะการนั่ง ยืน เดิน เป็นต้น
การฟัง คุณหมอจะฟังเสียงพูด เสียงไอ เสียงลมหายใจ
ดมกลิ่น คุณหมอจะดมอะไรบ้าง? ก็ดมตั้งแต่กลิ่นปาก กลิ่นตัว กลิ่นอุจจาระ รวมถึงกลิ่นปัสสาวะของคนไข้ด้วย ไม่ได้ทุ่มทุนสร้างนะคร้า แต่กลิ่นสามารถบ่งบอกอาการผิดปกติหรือโรคได้ค่ะ
การถาม คุณหมอก็จะพูดคุยซักถามถึงอาการที่เป็น ประวัติสุขภาพ – ชีวิตความเป็นอยู่ ประวัติครอบครัว เป็นต้น

ขอบคุณภาพประกอบ : รพ.ยันฮี

และที่จะขาดเสียมิได้ก็คือ การจับชีพจร ถ้าไปได้ยินคำว่า การแมะ ก็ไม่ต้องต๊กใจ เพราะคือความหมายเดียวกัน และส่วนใหญ่คนจะนิยมใช้คำว่าการแมะมากกว่าด้วย การแมะจะช่วยให้คุณหมอทราบว่ามีอวัยวะใดในร่างกายที่ทำงานมากเกินไปหรือน้อยเกินไป วิธีการก็ง่ายๆ คุณหมอจะใช้นิ้วชี้ นิ้วกลาง นิ้วนาง สัมผัสที่ข้อมือของคนไข้ทั้งสองข้าง ทำไมต้องแมะทั้งสองข้าง นั่นก็เพราะข้อมือแต่ละข้างจะสะท้อนถึงความผิดปกติของระบบอวัยวะภายในที่แตกต่างกันค่ะ
หลังตรวจเสร็จคุณหมอก็จะรวบรวมข้อมูลนำมาวิเคราะห์ เพื่อหาวิธีการรักษาที่เหมาะสมต่อไป ส่วนจะใช้วิธีไหนคืนสมดุลให้กับร่างกายเป็นเรื่องที่จะมาว่ากันต่อในตอนหน้าค่ะ


วันอังคารที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2559

หล่อมาดแมน...ใครบอกต้องรอชาติหน้า

อยากเป็นชาย ไม่ใช่นึกอยากแล้วจะทำได้เลย ก็เหมือนกับคนที่อยากแปลงเป็นหญิงนั่นแหละ จิตแพทย์ต้องทดสอบก่อนว่าอยากเป็นจริงๆ มุ่งมั่นแค่ลมปากหมอคนไหนก็ไม่กล้าลงมีดให้ค่ะ แต่ถ้าผ่านเกณฑ์ฉลุยก็ลุยเลย อันที่จริงการแปลงเพศเป็นชาย เท่าที่ไปสืบค้นข้อมูลมามีวิธีการทำ 3 ขั้นตอน แต่คนไข้สามารถเลือกได้นะว่าอยากทำแค่ขั้นตอนไหน คืออยากเปลี่ยนแปลงร่างกายไปมากน้อยแค่ไหนนั่นแหละ บางคนอยากเปลี่ยนเฉพาะบางส่วนก็พอใจล่ะ อย่างนี้ก็เลือกทำบางขั้นตอน แต่บางคนอยากเป็นผู้ชายทั้งแท่ง ก็ทำเหมาเลย 3 ขั้นตอนค่ะ
  


ก่อนจะไปดูกันว่าแต่ละขั้นตอนทำยังไงมั่ง ขอพูดเรื่องการเตรียมตัวก่อนผ่านิดนึง นอกจากเตรียมตัวเหมือนการผ่าตัดใหญ่อื่นๆ ทั่วไป หยุดกินฮอร์โมนอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ที่จะเน้นย้ำก็คือเรื่องการหยุดสูบบุหรี่ แค่ 2 อาทิตย์อย่างการผ่าตัดอื่นๆ ไม่พอนะคะ ต้องอย่างน้อย 3 เดือน แล้วยิ่งใครที่จะผ่าขั้นตอนที่ 2 - 3 ด้วย ต้อง No Smoking เด็ดขาดไปเลยจร้า


เอาล่ะ ทีนี้มาดูกันว่าการผ่าตัดแปลงเพศจากหญิงเป็นชาย 3 ขั้นตอนมีอะไรบ้าง

ขั้นตอนที่ 1 : คุณหมอจะผ่าตัดเอาเต้านม มดลูก และรังไข่ออก อะไรที่มันเป็นสัญลักษณ์เพศหญิงไม่เก็บไว้ให้ตำตาตำใจค่ะ เผอิญว่ามดลูกกับรังไข่เนี่ย เป็นอะไรที่อยู่ข้างในก็จะไม่ทิ้งร่อยรอยให้เห็น แต่หน้าอกที่มันอยู่ภายนอกนี่สิ คุณหมอจะเลาะเต้านมออกทั้งหมด เพื่อให้หน้าอกแบนราบเหมือนผู้ชาย ก็อาจทิ้งรอยแผลเป็นฝากไว้ได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับขนาดหน้าอกด้วยค่ะ ถ้าเป็นคนหน้าอกเล็ก คุณหมอสามารถเลาะเต้านมผ่านทางปานนมได้ ยังงี้ก็จะมีรอยแผลที่ปานนม พอนานไปก็จะกลืนหายไปเอง แต่ถ้าหน้าอกโตมาก ก็จะมีผิวหนังหน้าอกส่วนเกินเยอะ แถมเปอร์เซ็นต์ที่หัวนมจะไม่อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะเป็นมีสูง เช่น อาจอยู่ต่ำไป นอกจากคุณหมอจะต้องเลาะเต้านมทิ้งทั้งหมด ยังต้องตัดผิวหนังหน้าอกส่วนเกินออกและย้ายตำแหน่งหัวนมและปานนมให้อยู่ในตำแหน่งที่ควรจะอยู่ กรณีนี้ก็จะมีรอยแผลเป็นรูปตัว T ได้

ขั้นตอนที่ 2 : คุณหมอจะทำการผ่าตัดที่ต่างกันชัด ๆ 2 อย่างค่ะ
-  อย่างแรกเลย ปิดช่องคลอดพร้อมกับยืดท่อปัสสาวะ จะอธิบายให้เข้าใจง่ายๆยังงี้ค่ะ พอจะเป็นผู้ชายแล้วไอ้ช่องคลอดมันก็ไม่จำเป็นล่ะ ก็ปิดมันไปซะเลย ซึ่งตอนที่ผ่าตัดปิดช่องคลอดเนี่ย ก็จะยืดท่อปัสสาวะรอเอาไว้ก่อน อนาคตถ้าต่อจู๋ก็จะได้ต่อกับท่อปัสสาวะที่ฝังอยู่ในองคชาตเทียมได้เลย
อย่างที่สอง คุณหมอจะผ่าตัดสร้างท่อปัสสาวะบริเวณท้องแขนเอาไว้ โดยเอาผิวหนังบริเวณใต้สะโพกไปปลูกภายในท่อ ถามว่าทำไปทำไม? ทำไว้เพราะคุณหมอเค้าต้องเอาเนื้อเยื่อที่ท้องแขนตรงนี้แหละไปสร้างเป็นองคชาตเทียม แล้วถ้าจะให้เหมือนธรรมชาติสุดๆ ก็ต้องมีท่อปัสสาวะอยู่ภายในด้วย เพราะพวกผู้ชายเค้าต้องฉี่ผ่านทาง “จู๋” ยังไงล่ะ ไม่งงนะ

ขั้นตอนที่ 3 :     มาถึงขั้นตอนสร้างองคชาตและถุงอัณฑะล่ะ องคชาตเทียมก็จะสร้างจากเนื้อเยื่อท้องแขนที่คุณหมอเตรียมไว้ตั้งแต่ขั้นตอนที่ 2 ไง โดยจะปั้นแต่งให้คล้ายคลึงองคชาตที่สุด เมื่อนำมาต่อเป็นจู๋ก็จะต่อทั้งเส้นเลือด เส้นประสาท และท่อปัสสาวะเข้าด้วยกัน ในส่วนนี้ก็จะใช้เทคนิคจุลศัลยกรรมเข้ามาช่วยด้วย ส่วนถุงอัณฑะจะเอาเนื้อเยื่อจากบริเวณแคมใหญ่มาเย็บเป็นก้อนกลม 2 ก้อนให้ดูคล้ายกับถุงอัณฑะค่ะ


เห็นหลายขั้นตอนก็อย่าเพิ่งตกใจ คุณหมอเค้าไม่ได้ทำรวดเดียว ทำไปขั้นตอนหนึ่งแล้วก็ต้องทิ้งช่วงเวลาให้คนไข้ได้หายใจหายคอ รอให้เนื้อเยื่อหายสนิทก่อนถึงจะผ่าตัดขั้นต่อไปได้ โดยปกติจะทิ้งช่วงประมาณ 3-6 เดือน คือถ้าใครทำแบบเบ็ดเสร็จครบทุกขั้นตอนก็ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งปี บางทีถึง 2 ปีเลยก็ได้ค่ะ



วันจันทร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2559

เป็นหญิง...แบบไม่เสียเวลาแต๊บ

ก็ต้อง...ผ่าตัดแปลงเพศล่ะค่ะ แต่อย่างที่บอกจิตแพทย์ต้องตรวจสอบสภาพจิตก่อนว่าคนไข้อยากเป็นผู้หญิงจริงๆ ไม่ใช่แค่ความคิดประเดี๋ยวประด๋าว ถ้าจิตแพทย์เซย์เยส หมอศัลย์ถึงจะยอมผ่าให้ เดี๋ยวนี้การผ่าตัดแปลงเพศมีความก้าวหน้าไปมาก หมอฝีมือดีๆ ก็มีเยอะ ไม่ต้องบินไปไกลถึงเมืองนอกเมืองนา หมอไทยเรานี่แหละ ฝีมือไม่ธรรมดา หมอบางคนผ่าคนไข้มาเป็นร้อยเคส เรียกว่าประสบการณ์สูง ทำให้ผลผ่าตัดใกล้เคียงธรรมชาติกว่าสมัยก่อนเยอะ ถ้าเป็นเมื่อก่อนความคล้ายคลึงอาจแค่ 60-70 % แต่ทุกวันนี้ใกล้เคียงมากกว่า 95 % และการเย็บการซ่อนรอยแผลก็เนียนกริ๊บ ที่สุดเจ๋งก็อีตรงที่เลียนแบบได้กระทั่งปุ่มคลิตอริส (Cliroris) ซึ่งเป็นปุ่มรับความรู้สึกทางเพศของผู้หญิง ไม่เพียงมีขา (crus) และรูปร่างคล้ายของจริง ยังสามารถรับความรู้สึกทางเพศใกล้เคียงธรรมชาติที่สุด เนื่องจากคุณหมอจะสร้างคลิตอริสจากปลายองคชาตนั่นเองค่ะ


ใครอยากเฉาะ อยากตัดไอ้จ้อนออกไปเต็มที ใจพร้อมเกินร้อยแล้ว สุขภาพก็ต้องพร้อมด้วยนะ คุณหมอจะตรวจเช็คสุขภาพ ถามประวัติสุขภาพ กินยาอะไรอยู่บ้าง ก็บอกเล่าไปตามจริง ส่วนฮอร์โมนต้องหยุดกิน บุหรี่ต้องหยุดสูบไปก่อนประมาณ 2 อาทิตย์ก่อนผ่า คุณหมอจะให้งดน้ำงดอาหารก่อนผ่าตัดด้วย เพราะคนไข้ต้องดมยาสลบ เวลาผ่าตัดก็ประมาณ 2-3 ชั่วโมง ตื่นมาก็ได้เป็นผู้หญิงดั่งใจล่ะคร่า


แล้วคุณหมอเค้าแปลงโฉมไอ้จุดนั้นจนกลายเป็นจิ๋มสมใจคนไข้ได้ยังไง เริ่มต้นคุณหมอจะตัดท่อปัสสาวะให้สั้นลงแล้วตกแต่งให้ใช้งานเปิดปิดในตำแหน่งที่นั่งปัสสาวะได้ ต้องไม่ลืมว่าผู้หญิงเวลาเค้าฉี่ก็ต้องนั่งใช่มะ ไม่ได้ยืนฉี่ได้สะดวกเหมือนผู้ชาย ดังนั้นถ้าจัดวางตำแหน่งไม่ดีเวลานั่งฉี่อาจมีปัสสาวะพุ่งขึ้นแทนที่จะพุ่งลง ยุ่งตายเลย แต่คุณหมอเก่งๆ ก็จะจัดวางได้เป๊ะๆ ค่ะ

ขั้นตอนต่อมา คุณหมอจะสร้างช่องคลอดเทียม (ฮ่า...ช่องคลอดมาล่ะ) โดยกรีดเปิดช่องระหว่างท่อปัสสาวะกับทวารหนัก ความกว้างประมาณ 1.5 - 2 นิ้ว ความลึกประมาณ 5 - 7 นิ้ว แล้วดึงผิวหนังจากบริเวณองคชาตไปบุเป็นผนังช่องคลอด ถ้าคนไหนจู๋สั้น หรือเคยขลิบหนังที่ปลาย ผิวหนังที่จะใช้บุก็จะมีน้อย ก็ต้องพึ่งบริการหนังหุ้มอัณฑะมาช่วยบุช่องคลอดที่สร้างขึ้น

ทีนี้ก็ถึงเวลาเนรมิตแคมล่ะ คุณหมอจะตัดลูกอัณฑะออก แล้วเอาหนังที่หุ้มลูกอัณฑะและเนื้อเยื่อรอบๆ มาตกแต่งเป็นแคมเล็ก แคมใหญ่ ปรับแต่งให้เหมือนของผู้หญิงจริงๆ มากที่สุด


สิ่งสำคัญหลังจากนี้ก็คือต้องดูแลไม่ให้ช่องคลอดตีบตัน ไม่ใช่ผ่าเปิดช่องคลอดแล้ว โอ๊ย ชั้นสบายแล้วมีช่องคลอดสมใจล่ะ ยังค่ะ ยังไม่จบ ถ้าคุณไม่คอยถ่างคอยขยายเอาไว้บอกเลยว่าตีบตันชัวร์ ปกติคุณหมอจะปิดผ้าพันแผลไว้ประมาณ 5 วัน พอเปิดก็เริ่มสอดแท่งขยายช่องคลอดได้เลย ไอ้แท่งที่ว่านี้จะมีลักษณะคล้ายองคชาตทำจากซิลิโคนชนิดนุ่มหรือเทียน ซึ่งจะช่วยรักษาความกว้างและความลึกของช่องคลอดให้เท่ากับที่สร้างไว้ ถ้าอยากให้ความกว้างและความลึกของช่องคลอดอยู่ตัว ต้องมีวินัยในการทำอย่างมาก เพราะไม่ได้ทำกันแค่วันสองวันนะคะ ต้องลากยาวกันหลายเดือน อย่างน้อยก็ 6 เดือน แถมต้องทำทุกวันไม่ต่ำกว่าวันละ 2 ครั้ง แต่ละครั้งนานประมาณ  ½ ชม. ถ้าขี้เกียจทำมั่งไม่ทำมั่ง หรือชอบผัดวันประกันพรุ่งนี่จบเลยนะ


ส่วนใครอยากทดลองใช้งานจริง ก็อย่าเพิ่งใจร้อน อดใจรอสักหน่อย รอให้แผลหายสนิท ร่างกายฟื้นตัวแข็งแรงดีเสียก่อน โดยทั่วไปหลังผ่าคุณหมอจะให้งดกิจกรรมอย่างว่าประมาณ 2 เดือนค่ะ  

วันอาทิตย์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2559

คุณพร้อมเป็นหญิง...เป็นชายแค่ไหน

อยากเฉาะ อยากแปลงเพศใจจะขาด แต่ใช่ว่าไปพบหมอศัลย์แล้ว เค้าจะทำให้เลยนะ ไม่ใช่ฝีมือหมอไม่ถึง บอกเลยฝีมือหมอไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก แต่คุณหมอต้องชัวร์ก่อนว่าคนไข้สมควรทำจริงๆ ขืนสุ่มสี่สุ่มห้าทำให้โดยที่ยังไม่พร้อม วันดีคืนดีคนไข้เกิดเปลี่ยนใจขึ้นมา อยากกลับไปเป็นเพศเดิมนี่ซวยเลยนะ อย่างตัดจู๋ เต้านม หรือมดลูก นี่คือตัดแล้วตัดเลย เอากลับคืนมาไม่ได้นะคร้าบ ดังนั้นคุณหมอจึงต้องพิจารณาอย่างละเอียดถี่ถ้วนว่าคนไหนทำได้-ทำไม่ได้ โดยจะนำแนวทางในการดูแลคนไข้ที่มีการรับรู้เพศผิดปกติ (Gender Identity Disorder : GID) ที่ทำกันจนเป็นมาตรฐานทั่วโลกมาใช้ ไม่ได้ทำแบบขอไปที ชีวิตคนทั้งชีวิตจะมามั่วๆ ไม่ได้ค่ะ



ตามแนวทางที่ว่านี้เมื่อคนไข้บอกว่าอยากแปลงเพศคุณหมอศัลย์จะต้องส่งตัวให้ไปคุยกับผู้เชี่ยวชาญคือจิตแพทย์ ก่อน จิตแพทย์จะตรวจสอบว่าคนไข้เคสนั้นๆ อยู่ในกลุ่มคนที่มีการรับรู้เพศผิดปกติจริงๆ ไม่ใช่กลุ่มคนไข้อื่นๆ ตรงนี้สำคัญต้องแยกให้ได้ก่อน และถ้าแน่ใจว่าการผ่าตัดแปลงเพศจะเป็นวิธีการรักษาที่ดีที่สุด ก็จะออกใบรับรองผ่าตัด (Psychological Assessement Licence) ให้กับคนไข้ แล้วส่งให้หมอศัลย์ทำผ่าตัดต่อไป ซึ่งตามกฎหมายไทยกำหนดให้ใช้จิตแพทย์ถึง 2 คน ตรงนี้ก็จะเป็นการดับเบิ้ลเช็ค เอาให้ชัวร์แบบสุดๆ

ทีนี้ลองมาดูกันว่าคนที่มีคุณสมบัติและสภาวะจิตใจที่พร้อมต่อการผ่าตัดแปลงเพศต้องเป็นยังไง อันนี้เป็นการทดสอบความพร้อมตามมาตรฐานโลก เรียกว่าใครจะทำผ่าตัดแปลงเพศก็ต้องผ่านด่านทดสอบนี้ก่อนค่ะ

เอากรณีแปลงจากชายเป็นหญิงก่อน เพราะมีคนทำกันเยอะมว๊ากก อย่างที่บอกจะตัดจู๋ทิ้งนั้นเป็นเรื่องใหญ่ แต่ถ้าคุณมีคุณสมบัติเหล่านี้ คุณหมอก็ยินดีเฉือนเจ้าโลกของคุณทิ้ง
-   ใช้ชีวิตแบบหญิงติดต่อกันเป็นระยะที่ยาวนานกว่า 1 ปีขึ้นไป
-  เคยใช้ชีวิตเป็นหญิงอย่างสมบูรณ์ที่คนรอบข้างยอมรับได้ และมีความสุขโดยไม่มีความกดดันใดๆ
-  มีความรู้สึกเป็นหญิงมานานแล้ว หรืออาจจะเริ่มตั้งแต่จำความได้
มีความรู้สึกรังเกียจอวัยวะเพศของตัวเอง และคิดว่าเป็นของส่วนเกิน
-   มีความรู้สึกไม่ชอบพฤติกรรมของพวกรักร่วมเพศอย่างสิ้นเชิง
- เคยกินฮอร์โมนเพศหญิงมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นในรูปยากินหรือยาฉีด ข้อนี้นำมาใช้ตัดสินด้วยเพราะปกติผู้ชายที่ไม่มีความตั้งใจจริงจะเป็นผู้หญิง คงไม่มีใครคิดอุตริกินหรือฉีดฮอร์โมนเพศหญิงหรอกค่ะ


เอาล่ะ มาดูกรณีแปลงจากหญิงเป็นชายกันบ้าง ถึงเปอร์เซ็นต์ทำจะน้อยกว่าก็เถอะ แต่แนวโน้มก็มีมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคุณสมบัติของคนไข้จะคล้ายๆ กันเพียงแต่เป็นในทางตรงข้าม คือ
-   มีความรู้สึกอยากเป็นชายตั้งแต่จำความได้
เคยใช้ชีวิตเป็นชายอย่างสมบูรณ์อย่างมีความสุขและไม่มีความกดดันใดๆ และได้รับการยอมรับจากคนรอบข้างเป็นอย่างดี
-   ได้ใช้ชีวิตแบบชายติดต่อกันเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 1 ปีขึ้นไปเต็มเวลา
-   ได้รับฮอร์โมนเพศชายมามากกว่า 1 ปี ในเคสที่ต้องการผ่าตัดอวัยวะเพศหญิงออก เช่น ตัดมดลูก, รังไข่

หลังผ่านด่านตรวจสอบสภาพจิตจนมาถึงมือคุณหมอศัลย์แล้ว แสดงว่าคนไข้พร้อมแล้วที่จะเข้ารับการผ่าตัด ถึงกระนั้นก็ยังต้องคำนึงถึงเรื่องเหล่านี้ด้วยจร้า คือคนไข้ต้องมีอายุอย่างน้อย 20 ปีเต็ม อันนี้พิจารณาในแง่กฎหมายหรือจริยธรรม แล้วถ้าอายุน้อยกว่านั้นล่ะ ก็ยังทำได้ค่ะ แต่ต้องให้พ่อแม่ผู้ปกครองยินยอม และอีกเรื่องก็คือสุขภาพร่างกายของคนไข้เองว่าพร้อมที่จะทำมั้ย ถ้าสุขภาพแข็งแรงดี ก็ทำผ่าตัดได้เลย แต่ถ้ามีอะไรที่เสี่ยงต่อการผ่าตัด ก็ต้องดูว่าแก้ไขได้มั้ย ถ้าได้คุณหมอก็จะแก้ก่อน เพื่อความปลอดภัยของคนไข้ค่ะ