วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ปัญหาเลเบีย...ละเหี่ยใจ

วั้ย วี้ด...คำว่า เลเบีย ฟังแล้วจั๊กกระจี้รูหู   ถ้ายังงงๆ งวยๆ เพราะไม่สันทัดภาษาปะกิด จะเรียก “แคม” ก็ไม่ผิดนะฮ้า แล้วรู้รึยัง? สมัยนี้เค้ามีผ่าตัดตกแต่งแคมให้สวยกันแล้วนะ  ทั้งแคมเล็ก แคมใหญ่นั่นแหละ...ทำได้โหม้ด สวยตั้งแต่หัวยันจิ๋ม อเมซิ่งกิงก่องแก้วจริงๆ


แต่ใช่ว่าจู่ๆ ใครจะนึกอุตริอยากลุกขึ้นมาผ่าตัด (แถมเป็นตรงนั้นซะด้วย) ถ้ามันไม่เกิดปัญหาชวนเสียเซลฟ์ อย่างแคมเล็กเนี่ยที่ควรจะเห็นเป็นเพียงสัน คนไข้จะมีปัญหาว่าแคมเล็กมีขนาดใหญ่มากเห็นเป็นแผ่นหรือกลีบเนื้อชัดเจน จนล้ำแคมใหญ่ที่โอบล้อมอยู่รอบนอกออกมา ส่องทีไรปวดใจทู๊กที

เจอยังงี้ถ้าทำใจไม่ได้ก็ไปปรึกษาคุณหมอ คุณหมอจะผ่าตัดปรับโครงสร้างแคมเล็กที่ขยายใหญ่ผิดปกติให้เล็กลง จะได้กลับมามั่นใจอีกครั้ง การผ่าตัดใช้เวลาเพียงแค่ 1 ชั่วโมง สมัยนี้ยังผ่าตัดด้วยเลเซอร์ได้อีก ลดการสูญเสียเลือดและความบอบช้ำของเนื้อเยื่อลงได้มาก ก็ลองคุยกับคุณหมอดูว่าอยากใช้วิธีลงมีดแบบเก่า หรือจะใช้เลเซอร์ อย่าลืมพิจารณาเรื่องราคาประกอบด้วย จะได้วินๆ กันทั้งสองฝ่าย แล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าการผ่าตัดจะไปกระทบปุ่มคลิตอริส เดี๋ยวชั้นจะหมดความรู้สึกมั้ยโน่นนี่ บอกเลยว่าไม่เกี่ยวกันถึงแม้ว่าตอนบนของแคมเล็กทั้งสองข้างจะมาบรรจบกันตรงปุ่มคลิตอริส แต่การผ่าตัดก็ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวในส่วนนั้นเลย  


ส่วนแคมใหญ่ก็มีปัญหาให้ต้องกุมขมับได้เหมือนกัน อย่างแรกเลยเป็นปัญหาที่คล้ายคลึงกับแคมเล็ก นั่นคือการที่มันขยายใหญ่ผิดปกติ นึกสภาพแคมใหญ่ที่ใหญ่เกินจนเห็นเป็นก้อนนูนเวลาใส่กางเกงรัดรูป หรือบิกินี ถามว่าอายมั้ย...ตอบเลยว่ามาก ก็โคกล้ำซะขนาดนั้นเป็นใครจะไม่อาย แถมบางทีกางเกงรัดติ้วมากไปทำให้เจ็บปวดอีก กรณีอย่างนี้คุณหมอจะผ่าตัดปรับโครงสร้างภายนอกที่ขยายใหญ่ผิดปกติให้เล็กลง  ใช้เวลาทำราว 1 ชั่วโมง สามารถผ่าตัดด้วยเลเซอร์ได้ด้วย ซึ่งจะช่วยลดการเสียเลือดและความบอบช้ำของเนื้อเยื่อ

ส่วนเรื่องที่คนไข้กังวลในการผ่าตัดนี้จะมีอยู่ 2 เรื่อง เรื่องแรกก็จะคล้ายกับการผ่าตัดแคมเล็กคือกลัวจะไปกระทบปุ่มคลิตอริส ก็ไม่ต้องกังวลเพราะไม่เกี่ยวกันเลย ส่วนอีกเรื่องคือเรื่องแผล อย่างแคมเล็กมันยังมีแคมใหญ่โอบล้อมไว้ไง ยังไงก็ซ่อนแผลได้ไม่ยาก แต่แคมใหญ่นี่มันอยู่ด้านนอกอาจแพลมรอยแผลผ่าตัดให้เห็นได้ ก็สบายใจได้นะคะเพราะคุณหมอจะซ่อนแผลผ่าตัดไว้ระหว่างแคมเล็กและแคมใหญ่ ซ่อนแบบเนียนกริบกันเลยทีเดียว


ปัญหาของแคมใหญ่ยังไม่หมด เมื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ (ขอเลี่ยงคำว่า “แก่” จะได้ไม่สะเทือนใจมาก) ปกติคนวัยนี้เนื้อหนังก็จะหย่อนยานอยู่แล้ว ซึ่งแคมใหญ่ก็ไม่อยู่ในข่ายยกเว้น เรียกว่าสังขารไม่เที่ยงนั่นแหละ แคมใหญ่ก็จะเริ่มห้อยย้อยหรือมีริ้วรอยเกิดขึ้นจากการสูญเสียเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนังไป กรี๊ดด...ถ้าทำใจยอมรับไม่ได้ มีหลายวิธีช่วยได้ ไม่ว่าจะเป็น (1) การดึงให้ตึงด้วยเลเซอร์ (2) ฉีดให้อูมด้วยสารเติมเต็ม (Filler) ซึ่งผลลัพธ์จะสวยกว่าฉีดด้วยไขมัน ผลอยู่นานประมาณ 8-12 เดือน และ (3) เสริมให้อูมด้วยถุงซิลิโคน (Silicone) คุณหมอจะไม่ใช้วิธีการฉีดนะคะ เลี่ยงปัญหาแคมใหญ่ผิดรูปในระยะยาว

มีเหมือนกันที่คนไข้ไปเชื่อหมอเถื่อนหมอกระเป๋า ฉีดซิลิโคนหวังให้แคมใหญ่อูมสวย แต่ผลที่ได้กลับชวนสยองคือ แคมใหญ่ผิดรูปน่าเกลียด ร้อยทั้งร้อยวิ่งโร่ไปหาหมอให้ช่วยเลาะซิลิโคนออก ต้องบอกเลยว่าเอาออกยังไงก็ไม่หมด  เพราะซิลิโคนมันแทรกไปทุกชั้นของเนื้อเยื่อแล้ว ต่อให้เป็นคุณหมอฝีมือเทพขนาดไหนก็เลาะไม่หมด ทำได้แค่เลาะออกให้มากที่สุด แล้วอาจต้องเจ็บตัวมากกว่า 1 ครั้ง รู้ยังงี้แล้วก็อย่าไปพลาดโดนหลอกเข้าล่ะ เสียตังค์ยังไม่สาหัสเท่าเสียสุขภาพจิตนะคะ

                

         อ่านมาถึงตรงนี้   บางคนบอกว่าเรื่องยังงี้ใครจะกล้าไปทำ อายคนรอบข้างยันคุณหมอ  จะบอกให้เงิบเล็กๆ    เดี๋ยวนี้ผู้หญิงจำนวนไม่น้อยที่เห็นว่าการศัลยกรรมจุดซ่อนเร้นเป็นเรื่องปกติ  ไม่ต่างกับการทำศัลยกรรมจุดอื่นของร่างกาย  เพียงแต่มันดันไปแตะจุดต้องห้ามเข้าไง เลยรู้สึกกระอักกระอ่วนใจ   ฉะนั้นเรื่องอายตัดทิ้งไปเลย ถ้าไม่อยากให้ใครรู้ก็ไม่ต้องไปบอกใคร แต่สามีนี่เป็นข้อยกเว้นนะ เดี๋ยวจะมาสะกิดทำเรื่องอย่างว่าช่วงหลังผ่าตัดตอนที่คุณยังไม่พร้อมแล้วคุณปฏิเสธ ก็จะพาลน้อยใจหรือเข้าใจผิดไปอีก ส่วนอายคุณหมอนี่ไม่ต้องอายเลยค่ะ คุณหมอเขาเจอคนไข้มาเยอะเห็นปัญหาของคนไข้มาก็มาก มีแต่อยากจะช่วยแก้ไขให้คนไข้ด้วยความเต็มใจค่ะ  


วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

จุดซ่อนเร้น...ซ่อนปัญหา

          ชวนปวดตับสุดๆ เวลาที่จุดซ่อนเร้นดันมีปัญหา ก็มันอายไม่กล้าบอกใครนี่นะ ขนาดจะไปหาหมอยังกลัวๆ กล้าๆ คิดแล้วคิดอีก ถ้าไม่ถึงที่สุดจริงๆ อย่าหวังว่าจะไป ปัญหาของจุดซ่อนเร้นมีเยอะแยะ แต่ขอหยิบ 3 เรื่องจิ๋มที่ไม่จิ๋มซึ่งค่อนข้างเจอบ่อยมาฝากล่ะกัน ไปดูกันเล้ย
 


คั้น...คัน ตรงนั้น

          อาการคันนี่ทรมานอย่าบอกใคร จะเกาก็ใช่ที่ แหม่...ถ้ามันไม่ใช่ตรงนั้นก็คงเกาจนหนำใจไปแล้วล่ะ
          แล้วไอ้อาการคันเกิดจากอะไร สาเหตุที่พบบ่อยมี 2 ประการ
  
 มีปัญหาผิวหนังอักเสบ อาจจะเกิดจากการแพ้หรือระคายเคือง อันนี้สาวๆ ต้องเป็นคนช่างสังเกตสักหน่อย ว่าอะไรทำให้แพ้หรือระคายเคือง แล้วก็เลี่ยงซะ เช่น ถ้าใช้สบู่หรือน้ำยาล้างจิ๋มที่แรงเกินไปก็เปลี่ยนไปใช้สบู่อ่อนๆกับน้ำสะอาดก็พอ

ช่วงที่คันก็หาหมอเอายามาทาแก้คันได้ แต่อย่าไปซื้อเองนะ อันนี้ซีเรียส ผิดๆ ถูกๆ แต่โอกาสผิดมีสูงก็จะไปกันใหญ่ สำหรับความอับชื้นหมักหมมก็ทำให้ผิวหนังอักเสบได้ อย่างไม่หมั่นทำความสะอาด หรือสาวๆที่ชอบใส่กางเกงรัดรูปแน่นๆ นี่ก็ทำให้เกิดความอับชื้นตรงนั้นได้ 
คันจากเชื้อรา กรณีนี้ต้องพบหมอสถานเดียว นอกจากอาการคันคุณหมอจะตรวจพบตกขาวที่ผิดปกติด้วย ยารักษาก็มีทั้งยาทา ยากิน บางทีต้องใช้ยาเหน็บในช่องคลอดด้วย


ว้าย...ตกขาวผิดปกติ

ตกขาวอย่าเห็นเป็นเรื่องคุ้นเคย เพราะถ้าไม่ปกติเนี่ยมีสิทธิ์งานเข้าได้นะจ๊ะ แล้วจะรู้ได้ไงว่าตกขาวผิดปกติ ก็ต้องรู้ว่าไอ้ตกขาวปกติมันเป็นยังไงก่อน ถ้าลักษณะตกขาวที่ออกมาคล้ายแป้งเปียกสีขาวขุ่น หรือเป็นเมือกใส มีจำนวนไม่มาก ไม่มีกลิ่น และไม่มีอาการคัน ยังงี้ถือว่าปกติ พ้นไปจากนี้เป็นต้นว่ามีสีเหลือง เขียว หรือคล้ายหนอง กลิ่นผิดปกติ ฟันธงเลยว่าตกขาวผิดปกติแล้วล่ะ บางทีมีอาการอื่นแถมมาตอกย้ำด้วย เช่น อาการคัน ปวดแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอด
ตกขาวผิดปกติแล้วทำไง เอ้า...อย่ามัวแต่ "งง" รีบไปหาหมอสูติซะ การที่ตกขาวผิดปกติอาจเกิดจากการติดเชื้อ (เช่น ติดเชื้อพยาธิ (Trichomonas vaginalis), เชื้อรา, หนองใน, แบคทีเรีย ฯลฯ), มีปากมดลูก ช่องคลอดอักเสบ เป็นแผล, มีสิ่งแปลกปลอมในช่องคลอด, มีเนื้องอกหรือมะเร็งปากมดลูก แต่สาเหตุมักเกิดจากการติดเชื้อภายในช่องคลอดซะเป็นส่วนใหญ่

ข้อแนะนำที่จะช่วยไม่ให้ตัวคุณพาเชื้อเข้าสู่ช่องคลอดซะเอง ก็ด้วยวิธีง่ายๆ อย่างแรกเลยหลังถ่ายหนักถ้าจะล้างหรือเช็ดให้ทำจากหน้าไปหลัง อย่าย้อนไปย้อนมา เพราะช่องคลอดอยู่ใกล้ทวารหนักโอกาสจะพาเชื้อเข้าช่องคลอดมีสูง, หยุดใช้น้ำยาล้างช่องคลอด เพราะสารฆ่าเชื้อในน้ำยาเหล่านี้จะฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่คอยรักษาสมดุลและคอยต่อต้านเชื้อต่าง ๆ ที่จะเข้าสู่ช่องคลอด, เลิกใช้ผ้าอนามัยแบบสอด เพราะอาจทำให้ระคายเคืองเกิดการติดเชื้อได้, เลิกกินยาปฏิชีวนะโดยไม่จำเป็น เพราะจะไปทำลายเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด

มีเลือดออกทางช่องคลอด

การมีเลือดออกผิดปกติทางช่องคลอดมีได้หลายสาเหตุ
ถ้าสาเหตุชัดเจนอย่างเกิดการบาดเจ็บ ถูกกระแทกจนเกิดการฉีกขาด  แล้วมีเลือดไหลออกมา ต้องรีบไปพบแพทย์ เพราะถือเป็นภาวะเร่งด่วนอย่างหนึ่ง
ถ้าเป็นช่วงมีประจำเดือน ก็จะมีเลือดออกมาเป็นปกติอยู่แล้ว ทีนี้ไอ้ที่ไม่ปกติก็คือ มีเลือดออกมามากๆ หรือประจำเดือนมานานมาก อันนี้ก็นิ่งนอนใจไม่ได้ อาจเกิดจากเยื่อบุมดลูกหนาเกินไป, มีก้อนเนื้องอกในโพรงมดลูก หรือรังไข่ทำงานผิดปกติ
ถ้าไม่ได้อยู่ในช่วงมีประจำเดือนแต่ดันมีเลือดออกมาซะงั้น อย่างนี้ก็น่าตกใจ สาเหตุก็มีได้หลากหลาย เช่น แท้ง, ตั้งครรภ์ไข่ปลาอุก, ตั้งครรภ์นอกมดลูก (ถ้าสาวคนไหนยังเวอร์จิ้นอยู่ ก็ตัดประเด็นเรื่องการตั้งครรภ์ทิ้งไป), เนื้องอก, มะเร็ง, รังไข่ทำงานผิดปกติ



        ดังนั้น ถ้ามีเลือดออกทางช่องคลอดแบบไม่ปกติล่ะก็ อย่ามัวใจเย็น รีบไปพบคุณหมอสูติซะ อย่าทำเล่นไปการเสียเลือดมากๆ ก็อาจเสี่ยงถึงตายได้  หรือถ้าเป็นโรคร้ายแรงอื่นๆ ก็จะได้รีบรักษาแต่เนิ่นๆ           

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คำถามนี้ - มีคำตอบ...คีเลชั่น

        เคยหยิบเรื่องคีเลชั่นมาฝากไปแล้ว ใครสนใจก็ย้อนไปหาอ่านกันได้นะคะ แต่ก็มีบางเรื่องที่ยังไม่ได้พูดถึงหรือพูดข้ามไป ทำให้หลายๆ คนยังกังขาเกี่ยวกับคีเลชั่น เกริ่นมายังงี้หากสะกิดต่อมอยากรู้ของคุณแล้วล่ะก็ ข้อคำถามปังๆ เหล่านี้จะทำให้คุณเข้าใจคีเลชั่นมากขึ้นด้วยคำตอบที่ สั้น กระชับ ตรงประเด็นสุดๆ  



ทำไมเราควรทำคีเลชั่น?
        ตอบแบบไม่อวย ก็คงต้องบอกว่า ยอมรับความจริงเถอะว่า โลกทุกวันนี้มันไม่เหมือนเดิมแล้ว สภาวะปัจจุบันทั้งสภาพแวดล้อม อาหาร และเครื่องดื่ม มักปะปนไปด้วยสารเคมีและโลหะหนัก ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพโดยรวมของคนเรา การทำคีเลชั่นจึงเป็นทางเลือกหนึ่งในการกำจัดโลหะหนักและสารเคมีเหล่านี้ออกจากร่างกาย ซึ่งส่งผลให้สุขภาพและคุณภาพชีวิตดีขึ้น

คนกลุ่มไหนที่สามารถทำคีเลชั่นได้?
        คนที่อยากทำคีเลชั่นมักจะมีคำถามนี้อยู่ในใจเสมอ เอ้า! มาดูกันว่าคุณเหมาะจะทำหรือไม่


กลุ่มนี้...ใช่เลย
        -  คนที่ต้องการดูแลสุขภาพ
        -  คนที่มีความเสี่ยงได้รับโลหะหนักหรือสารเคมีเป็นประจำ
        -  คนที่รู้สึกร่างกายอ่อนเพลียลง ไม่สดชื่น
อายุไม่ใช่อุปสรรค ไม่มีข้อกำหนดเรื่องอายุ แต่ถ้าอยากทำจริงๆ ควรปรึกษาคุณหมอก่อนทำ ซึ่งคุณหมอจะให้ข้อมูลในการรักษาสำหรับแต่ละคน โดยพิจารณาให้เหมาะสมกับสภาพร่างกายของคนไข้
กรณีนี้...ห้ามเด็ดขาด
ผู้ป่วยภาวะไตวาย เนื่องจากร่างกายจะขับสารโลหะหนักผ่านทางไต ไตจึงทำงานเพิ่มขึ้น

ถ้าอยากทำคีเลชั่นต้องเตรียมตัวยังไงมั่ง?
        

        ถ้าคุณอยากทำคีเลชั่นก็หาข้อมูลว่ามีสถานพยาบาลไหนมั่งที่ทำ พอใจที่ไหนก็เข้าไปปรึกษาได้เลย น้ำหรืออาหารไม่ต้องงด เดี๋ยวจะเป็นลมไปซะก่อน ก่อนทำคุณหมอจะทำการตรวจที่เรียกว่า Live Blood Analysis ซึ่งเป็นการตรวจเบื้องต้นในการดูภาวะเม็ดเลือด และการปะปนของโลหะหนักในเลือด โดยการเจาะเลือดปลายนิ้ว 1 หยด แล้วนำมาส่องผ่านกล้องจุลทรรศน์ที่มีกำลังขยายสูง แล้วส่งภาพผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์


ตัวยาที่ใช้ในการทำคีเลชั่นมีอะไรบ้าง?
        ตัวยาหลักคือ โปรตีนอะมิโนชนิดหนึ่งที่มีฤทธิ์ในการขับสารโลหะหนักออกจากร่างกาย ส่วนอื่นจะเป็นวิตามินและสารต้านอนุมูลอิสระอีกหลายชนิด ช่วยฟื้นฟูสุขภาพและผิวพรรณให้ดีขึ้น

หลังทำจะมีอาการผิดปกติอะไรบ้างหรือเปล่า?
หลังทำโดยปกติทั่วไปจะไม่มีอาการใดๆ ยกเว้นบางท่านอาจมีอาการเพลีย คลื่นไส้ หรืออื่นๆ บ้างเล็กน้อย จึงไม่ต้องกังวลใจไปค่ะ

การทำคีเลชั่นจะทำซ้ำมากน้อยแค่ไหน ดูจากอะไร?
        คุณหมอจะพิจารณาจากสภาพร่างกาย และปัจจัยเสี่ยงของแต่ละท่าน โดยปกติจะทำประมาณ 10 – 20 ครั้ง

การทำแต่ละครั้งควรเว้นระยะห่างเพียงใด?
        ประมาณ 1 สัปดาห์ เพราะต้องมีการควบคุมปริมาณยาให้เหมาะสม

หากทำบ่อยๆ จะส่งผลเสียต่อร่างกายหรือไม่?
         ผลเสียต่อร่างกายไม่พบ ยกเว้นในผู้มีภาวะไตวาย ที่ถือเป็นข้อห้ามในการทำ 



ล้างพิษอย่างง่าย...ใครก็ทำได้

คนทุกวันนี้ใช้ชีวิตไม่ง่าย ใครบอกว่าชีวิต ดี๊ ดี ไม่รู้ว่าพูดไปปาดน้ำตาไปหรือเปล่า ยิ่งคนที่ใช้ชีวิตในเมืองที่แสนเครียด แก่งแย่งแข่งขัน สิ่งแวดล้อมย่ำแย่ อากาศมีแต่มลภาวะ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ อาหารขยะเกลื่อนเมือง อาหารปนเปื้อนก็มีไม่น้อย ร่างกายของเราจึงรับเอาสารพิษเข้าไปเกือบทุกวัน บางทีซ้ำร้ายเป็นสารโลหะหนัก จริงๆ  แล้วร่างกายก็มีกลไกกำจัดสารพิษออกไปได้เอง แต่มีข้อแม้ว่าต้องในปริมาณที่ไม่มากเกินไปนะ ถ้าเกินขีดจำกัดก็จะทำให้เกิดสารพิษตกค้างสะสมในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพในระยะยาว มีโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เกิดขึ้นได้ หลายคนจึงเริ่มมองเห็นความสำคัญของการล้างสารพิษออกจากร่างกาย ซึ่งเราสามารถทำได้ด้วยตัวเอง ไม่ใช่เอะอะกินยา หรือวิ่งโร่ไปหาหมอ และต่อไปนี้เป็นวิธีล้างพิษแบบง่ายๆ ที่หลายคนอาจนึกไม่ถึงค่ะ



น้ำ...ห้ามขาด
น้ำไม่เพียงช่วยชำระล้างสิ่งสกปรกภายนอกร่างกาย น้ำยังช่วยนำของเสียหรือสารพิษออกจากร่างกายของเราด้วย ซึ่งช่องทางที่สารพิษถูกขับออกจากร่างกายมีหลายทาง ได้แก่ ทางปัสสาวะ อุจจาระ การหายใจ เหงื่อ  ดังนั้น จึงควรดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน โดยเฉลี่ยควรดื่มอย่างน้อยวันละ 2 ลิตร หรือประมาณ 6 – 8 แก้ว น้ำเปล่าที่ใสสะอาด ปราศจากสี กลิ่น และตะกอน นี่แหละดีที่สุด ดื่มแล้วก็ไม่ต้องกังวลว่าจะอ้วนเพราะน้ำเป็นสารอาหารที่ไม่ให้พลังงาน ส่วนคนที่อยากดื่มน้ำอื่นๆ ที่ไม่ใช้น้ำเปล่า ไม่ว่าจะเป็นน้ำหวาน น้ำผลไม้ ชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มอื่นๆ ก็ได้เหมือนกัน แต่ดื่มเยอะไปก็รับน้ำตาลเข้าไปด้วย อ้วนไม่รู้นะเออ ฉะนั้นดื่มบ้างพอชื่นใจแต่เน้นน้ำเปล่าดีที่สุดค่ะ



คัดสรรสิ่งที่กิน
ลดการบริโภคอาหารสมัยใหม่ อาหารดัดแปลง เนื้อสัตว์ อาหารที่อุดมด้วยแป้งขัดขาว น้ำตาล ไขมัน  เพราะอาหารเหล่านี้จะทำให้เกิดคราบตะกรันเหนียวหนับเกาะสะสมที่ผนังลำไส้ แม้จะถ่ายอุจจาระทุกวันก็ออกไปได้ไม่หมด ทำให้เป็นแหล่งเพาะแบคทีเรีย เกิดการบูดเน่าหมักหมม และเกิดสารพิษที่เป็นบ่อเกิดของโรคต่างๆ





ผักผลไม้อย่าให้ขาด
เพิ่มเส้นใยอาหารในแต่ละมื้ออาหาร ด้วยการกินผักและผลไม้ ถ้าไม่อยากน้ำหนักขึ้นก็เลือกกินผักและผลไม้สดที่มีรสไม่หวานนัก เส้นใยอาหารจะไปทำหน้าที่อุ้มน้ำ ไขมัน และแบคทีเรียในลำไส้ ทำให้อุจจาระเคลื่อนตัวเร็ว ไม่เกิดการหมักหมมในลำไส้ และถูกขับถ่ายออกจากร่างกาย
ล้างก่อนกิน
        กินผักผลไม้เพิ่มเส้นใยให้ไปกวาดลำไส้ให้สะอาด แต่ต้องระวังอย่าไปเพิ่มสารพิษให้ร่างกายเข้าล่ะ ดังนั้นก่อนกินหรือนำไปปรุงควรล้างให้สะอาด จะได้ไม่มียาฆ่าแมลงตกค้าง ถ้าเป็นไปได้อย่ากินผักหรือผลไม้ซ้ำ ๆ กัน ให้กินหลากหลายเข้าไว้ จะได้ไม่ต้องรับสารเคมีตัวเดิมๆ เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ


อย่าให้ท้องผูก
หากปล่อยให้ท้องผูก สารพิษสะสมที่เกิดจากการบูดเน่าของอุจจาระก็จะคั่งค้างหมักหมมในลำไส้และดูดซึมเข้าสู่ร่างกาย ถ้าไม่อยากท้องผูกมีหลายวิธีที่ช่วยได้
-  กินอาหารที่มีกากใยเยอะๆ
-  ดื่มน้ำให้เพียงพอ น้ำจะไปช่วยให้กากอาหารอ่อนตัวลง ขับออกได้ง่าย
-   ออกกำลังกาย เหมือนไม่เกี่ยวแต่เกี่ยวนะจ๊ะ การออกกำลังกายจะช่วยให้ลำไส้ขยับเคลื่อนไหวได้ดีขึ้น ทำให้อาหารส่งผ่านไปได้สะดวก กากอาหารจึงไม่หมักหมมอยู่ในลำไส้ โอกาสเกิดท้องผูกก็ลดลง  ถ้างอแงว่าจะหาเวลาไหนมาออกกำลังกาย เอาเป็นว่าแค่เดินสัก 20-30 นาทีก็ช่วยให้ลำไส้ได้เคลื่อนไหวแล้วล่ะ
-   ฝึกขับถ่ายให้เป็นเวลาทุกวัน ฝึกบ่อยๆ จนเคยชิน
-   ปวดแล้วอย่ากลั้นไว้
-   ผ่อนคลายความเครียดลงซะบ้าง
-   ชา กาแฟ แอลกอฮอล์ งดได้ควรงด เพราะไปทำให้ลำไส้บีบตัวน้อยลง
        

        ออกกำลังกาย
การออกกำลังกายมีประโยชน์สารพัด รวมถึงการขับสารพิษออกจากร่างกายด้วย โดยร่างกายจะขับสารพิษผ่านเหงื่อและรูขุมขน เลือกวิธีออกกำลังกายที่คุณชื่นชอบ สะดวก จะได้ทำเป็นประจำไม่นึกเบื่อไปซะก่อน ถ้าจะให้ดีควรเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรคบิก ทำติดต่อกันอย่างน้อย 20 นาที
         
       เห็นมั้ยคะว่าล้างพิษด้วยตัวเองง้าย ง่าย คุณก็ทำได้ แต่ทั้งนี้ก็ต้องอาศัยความตั้งใจและวินัยพอสมควร ถ้าอยากสุขภาพดีก็เริ่มที่ตัวคุณเองก่อนนั่นแหละ ทำแล้วก็อย่าล้มเลิกความตั้งใจกันง่ายๆ ล่ะ

แสงรักษา “สิว”

แนะนำวิธีป้องกันสิวกันไปแล้ว บางคนปฏิบัติตามแล้ว สิวก็ยังไม่เลิกมารังควานสักที เฮ้อ! ถอนใจได้แต่อย่าถอดใจล่ะ ยังมีเทคโนโลยีเจ๋งๆ ที่ช่วยรักษาสิวอักเสบที่อยากแนะนำให้รู้จักกันในตอนนี้ อ่านแล้วเชื่อสิกำลังใจมาเพียบ


เทคโนโลยีที่ว่านี้ชื่อ LED Light  ค่ะ ฟังชื่อแล้วน่าจะพอเดาๆ ได้ว่าต้องเกี่ยวกับแสงๆ อะไรเนี่ยแหละ เพราะมีคำว่า light ....ใช่แล้วค่ะ เทคโนโลยีนี้เป็นการนำแสงสีต่างๆ มาใช้รักษาปัญหาของผิวหน้าที่ชวนละเหี่ยใจอย่างสิวอักเสบ แถมยังมีดีตรงที่รักษาได้ทุกสภาพผิว  ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้ง ผิวมัน ผิวธรรมดา ผิวผสม หรือผิวแพ้ง่าย แหม่...ตอบโจทย์ทุกสภาพผิวอย่างนี้ ท่าจะครองใจสาวๆ ได้ไม่ยากส์

แล้วทำไมต้องฉายแสงหลายๆ สี ฉายแสงสีเดียวจบไปเลยไม่ได้เหรอ? ที่เค้าใช้แสงหลายสีก็เพราะแสงแต่ละสีมันมีความยาวคลื่นต่างกัน ทำให้คุณสมบัติในการรักษาแตกต่างกันไปด้วย ซึ่งเมื่อนำแสงหลายสีมาผสานกันก็จะช่วยแก้ไขปัญหาผิวพรรณได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่แสงสีเดียวรักษาได้ทุกปัญหาผิวครอบจักรวาล อันนั้นก็จะเทพไปค่ะ


สำหรับการรักษาด้วยแสง หรือ LED Light ประกอบด้วยแสงสีอะไรบ้าง 
-   แสงสีฟ้า (Blue light) ความยาวคลื่น 415 nm
-   แสงสีเขียว (Green light) ความยาวคลื่น 525 nm
-   แสงสีเหลือง (Yellow light) ความยาวคลื่น 590 nm
-   แสงสีแดง (Red light) ความยาวคลื่น 633 nm

แสง LED หลากหลายสีเหล่านี้ช่วยอะไรได้มั่ง 
สำหรับคนที่เป็นสิวอักเสบก็จะช่วยลดการอักเสบของสิวได้ค่ะ และยังไปฆ่าเชื้อแบคทีเรีย พีแอคเน่ (P. acnes) ที่เป็นสาเหตุสำคัญของสิวด้วยนะ และไม่ได้ช่วยเรื่องสิวอย่างเดียว ยังช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน (Collagen) ซ่อมแซมแผลเป็นจากสิว ฟื้นฟูสภาพผิวจากจุดด่างดำ และริ้วรอยอีกด้วย

ดังนั้นใครมีปัญหาสิวอักเสบจำนวนมาก เบื่อกินยาหรือกินจนดื้อยาไปแล้ว กลุ่มหลังนี่สิวก็จะหายยากเพราะยาเอาไม่อยู่ล่ะ จะลองหันมาพึ่ง LED light ดูก็ได้นะ เหมือนไปทางเดิมแล้วมันไม่เวิร์กก็ลองเปลี่ยนเส้นทางใหม่ดู หรือคนที่กังวลว่าสิวจะกลับมาเป็นซ้ำก็ลองปรึกษาคุณหมอได้นะ นอกจากจะลดสิวอักเสบโดยตรงแล้ว ผลพวงของสิวอย่างปัญหารอยแดง รอยดำ รอยหลุมจากสิว ก็ช่วยให้ดีขึ้นได้ค่ะ


การฉายแสงรักษาหรือ LED Light  ใช้เวลาทำแต่ละครั้งไม่นาน เสียเวลาแค่ 20-30 นาทีต่อครั้ง เท่านั้นเอง การทำก็ต้องมีเว้นช่วงไม่ได้ทำติดต่อกันทุกวัน ประมาณ 1-2 ครั้ง/สัปดาห์กำลังดี ซึ่งอาจทำติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์หรือกว่านั้น อาจถึง 8 สัปดาห์ขึ้นไปก็มี ก็ขึ้นกับอายุ สภาพผิว และปัญหาผิวของคนไข้ เดี๋ยวคุณหมอจะประเมินเองล่ะว่าจะต้องทำกี่ครั้ง แต่ส่วนใหญ่สิวอักเสบจะค่อย ยุบตัวลง ผิวหน้ามีความมันน้อยลง สิวเริ่มลดปริมาณลง รอยสิวจางลง เมื่อทำต่อเนื่องประมาณ 3 ครั้งขึ้นไป

พูดถึงการเอาแสงมาฉายที่ใบหน้า มันก็ต้องมีกลัวบ้างอะไรบ้างเนอะ ผิวจะไหม้มั้ย มีแสงอะไรเป็นอันตรายรึเปล่า อย่างแสง UV อะไรเงี้ย ก็ไม่ต้องกังวลนะคะ เทคโนโลยี LED light ผ่านการรับรองโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกามาแล้วว่าปลอดภัย แสงที่ฉายก็ปราศจากแสง UV และ Infrared ที่เป็นอันตรายต่อผิว เวลาทำก็ไม่เจ็บ ไม่ระคายเคืองกับผิวชั้นนอก เพราะคลื่นแสงจะลงลึกไปตรงจุดที่เกิดปัญหาภายในชั้นใต้ผิวโดยตรง ทำเสร็จไม่ต้องเสียการเสียงานกลับไปทำงานได้ตามปกติเลย


ถ้าปัญหาสิวทำเอาคุณยิ่งกว่าเสียเซลฟ์ ก็ลองไปพูดคุยปรึกษาหารือกับคุณหมอ บางทีคุณอาจค้นพบว่าวิธีนี้มันถูกใจ...ใช่เลย 


วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เรื่อง ‘สิว’ ไม่ชิวนะจ๊ะ

       แค่ได้ยินว่า สิว ก็อยากกรี๊ดสลบแล้วล่ะ โดยเฉพาะน้องๆ วัยรุ่นวัยใสเอ๊าะๆ แหม่...เป็นแล้วเสียเซลฟ์สุดๆ แล้วไอ้สิวเจ้ากรรมก็ดันเป็นบ่อยในช่วงวัยนี้ซะด้วย เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศ โดยร่างกายจะผลิตฮอร์โมนเพศเพิ่มมากขึ้น ซึ่งจะกระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานหนักขึ้น  สถานการณ์จะเริ่มดีขึ้นเมื่อพ้นช่วงวัยรุ่นไปแล้วนั่นแหละ และส่วนใหญ่สิวจะหายไปหลังอายุ 25 ปี แต่ก็มีเหมือนกันที่อายุสี่ห้าสิบแล้วก็ยังเป็นอยู่


มาดูสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดสิวกันมั่ง

1.  กรรมพันธุ์
2. ติดเชื้อแบคทีเรีย พีแอคเน่ (P. acnes) แบคทีเรียชนิดนี้จะไปย่อยไขมันในต่อมไขมันให้เป็นกรดไขมันอิสระ ทำให้เกิดการระคายเคืองที่ผิวหนังบริเวณต่อมไขมัน
3. ความเครียดกังวล อดนอนหรือนอนดึก จะกระตุ้นให้ต่อมใต้สมองหลั่งสารชนิดหนึ่งออกมากระตุ้นให้ต่อมไขมันทำงานเพิ่มขึ้น สังเกตมั้ยว่าคนนอนดึกตอนเช้าตื่นมาหน้าจะมันกว่าปกติ
4.  ใช้เครื่องสำอางไม่ได้มาตรฐาน หรือไม่เหมาะกับสภาพผิวหน้า ทำให้ผิวหน้าแห้งหรือมันเกินไป
5.  ล้างหน้าแรง ๆ เช็ดถูหน้าบ่อยๆ หรือคนที่ชอบนวดหน้า อาจมีอาการระคายเคืองจากสารเคมีในครีมนวดหน้าทำให้เกิดสิวอักเสบได้

รู้ต้นเหตุกันล่ะ ทีนี้ถ้าไม่อยากให้ผิวสวยๆ เห่อไปด้วยสิว ควรจะทำยังไง ถ้าเป็นสิวในวัยรุ่นที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่านหรือใครที่มีกรรมพันธุ์ตกทอดมาจากพ่อแม่นี่ ก็คงต้องทำใจล่ะนะ แล้วไปหาทางป้องกันทางอื่นเอา อย่างวัยรุ่นที่มีโอกาสเป็นสิวง่ายอยู่แล้ว แล้วยังมาเครียดกังวลในช่วงเวลาใกล้สอบอีก ก็อาจมีสิวเห่อขึ้นได้ ดังนั้นน้องๆ จึงควรตั้งใจเรียนจะได้ไม่ต้องเคร่งเครียดมากนักเวลาใกล้สอบ และหากิจกรรมที่ผ่อนคลายทำบ้าง

เอาล่ะ ไม่อยากให้เกิดสิวหรือมีสิวน้อยลง ควรทำไงบ้าง ไปดูกันค่ะ

ล้างหน้า...ล้างให้ถูกวิธี 
ใครที่คิดว่าล้างหน้าบ่อยๆ จะไม่เป็นสิวเปลี่ยนความคิดซะ! การล้างหน้าบ่อยๆ จะทำให้ผิวสูญเสียน้ำมัน ต่อมไขมันก็จะผลิตน้ำมันออกมาชดเชยทำให้เป็นสิวได้ ให้ล้างหน้าแค่วันละ 2 ครั้งก็พอ สบู่หรือครีมล้างหน้าที่ใช้ก็ควรเลือกแบบอ่อน ไอ้ประเภทผสมน้ำหอมนี่เลิกใช้ไปซะ เพราะทำให้ผิวระคายเคืองและเกิดสิวได้ เวลาล้างหน้าก็กรุณาเบามือสักนิด ไม่ใช่ถูเอาเป็นเอาตาย จนผิวระคายเคืองทีนี้ก็ได้กระตุ้นให้สิวกำเริบหนักไปอีก ส่วนสาวหน้ามันอนุญาตให้ล้างหน้าเพิ่มได้อีก 1 ครั้งในช่วงกลางวัน  



ฉลาดใช้เครื่องสำอาง
-    เลือกเครื่องสำอางที่เหมาะกับสภาพผิว
-   บอกลาเครื่องสำอางประเภทครีมที่มีปริมาณน้ำมันค่อนข้างสูง อย่างเช่น ครีมรองพื้น ครีมก่อนนอน ครีมบำรุงผิว เป็นต้น
-  สาวๆ ที่แต่งหน้า ก่อนนอนต้องล้างเครื่องสำอางออกให้หมด ไม่ต้องทำตัวเป็นนางเอกละคร นอนทั้งๆ ที่หน้ายังจัดเต็มล่ะ

รบกวนผิวหน้า...อย่าให้บ่อย
สาวๆ ที่ชอบขัดหน้า จะขัดเองหรือไปนอนให้ช่างทำให้ ต้องระวังค่ะ การขัดหน้าอย่างรุนแรงจะทำให้ผิวระคายเคืองได้ ส่วนใครที่ชอบสัมผัสผิวหน้าบ่อย ๆ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือทีเผลอ ก็ให้พยายามเลิกพฤติกรรมนี้ซะ

ทำเรื่องเหล่านี้ได้...ส่งผลดีแน่
-   ลดความเคร่งเครียด วิตกกังวลลงซะ
-   พักผ่อนให้เพียงพอ อย่านอนดึก อย่าอดนอน
-   ออกกำลังกายเป็นประจำ “มีวินัยๆ” ท่องไว้
-  กินอาหารที่มีประโยชน์ อย่าตามใจปากมาก อาหารขยะเพลาๆ ลงบ้าง


ขุดสารพัดวิธีมาใช้ก็แล้ว สิวยังตามรังควานไม่เลิก ถ้าไม่อยากทนเห็นหน้าสวยๆ มีสิวผุดตรงนู้นตรงนี้ สเต็ปต่อไปแนะนำให้พบคุณหมอ ใครคิดพึ่งครีมรักษาสิวในท้องตลาด ต้องดูดีๆ ไม่งั้นอาจเจอยาปลอมทำหน้าพังกว่าเดิม ยุ่งเลยนะ ถ้าคิดจะรักษาควรรักษาตั้งแต่ยังเป็นน้อยๆ จะได้ผลดีกว่า แถมลดโอกาสดื้อยาด้วย

ไปพบคุณหมอแล้ว หมอจะทำอะไรให้มั่ง
โดยทั่วไปการรักษาสิวจะมีอยู่ 2 วิธีหลักๆ คือ
-    กินยา
-    ทายา


จะกินหรือจะทา หรือใช้คู่กัน คุณหมอจะดูจากสภาพคนไข้ เช่น คนไข้เป็นสิวชนิดไหน รุนแรงมากน้อยเพียงใด ไม่ใช่ใครมาก็สูตรเดียวกันหมด และอาจใช้การรักษาเสริมอื่นพ่วงด้วย เป็นต้นว่า
-   ถ้าสิวมีการอุดตันมาก อาจต้องกดสิว
-   ถ้าสิวมีการอักเสบมาก ๆ เช่น สิวหัวช้าง อาจต้องฉีดยาให้ยุบเร็วขึ้น

ส่วนใหญ่คนเป็นสิวจะใจร้อน ไปเจอหมอวันนี้พรุ่งนี้อยากให้สิวหายล่ะ แหม่...คุณหมอเค้าก็ลำบากใจนะคร้า สิวจะดีขึ้นช้าเร็วขึ้นกับเป็นสิวรุนแรงแค่ไหน ถ้าเป็นน้อย ๆ พอขำๆ อาทิตย์เดียวก็อาจกลับมาหน้าปิ๊งได้ แต่ถ้าเป็นพวกสิวอักเสบหนักๆ หรือสิวหัวช้างก็อาจใช้เวลาเป็นแรมเดือน หรือนานกว่านั้น ก็ต้องใจเย็นกันนิดนึง


ไอ้ที่ต้องเตือนเห็นจะเป็นคนที่เป็นสิวแล้วชอบแกะ กด บีบสิว อยากปราดเข้าไปตีมือนัก รู้มั้ยว่าพฤติกรรมยังงี้แหละที่ทำให้ผิวหน้าเกิดรอยดำ เป็นแผลเป็น ผิวหน้าขรุขระเป็นหลุมเป็นบ่อ เพราะการไปบีบไปเค้นจะทำให้สิวยิ่งอักเสบมากขึ้น ฉะนั้นก็หักห้ามใจห้ามมือกันด้วยล่ะ


แต่ถ้าพลาดไปแล้วสิวหายทิ้งรอยดำ แผลเป็น รอยขรุขระไว้ ก็อย่าเพิ่งเสียกำลังใจ เดี๋ยวนี้มีวิธีแก้ไขหลายวิธี ง่ายหน่อยก็ทายา ยุ่งยากขึ้นมาอีกนิดก็ทำไอออนโต กรอผิว ใช้เลเซอร์ช่วยก็ยังได้ แต่ถ้าไม่อยากต้องมาตามแก้กันทีหลังล่ะก็ ป้องกันตั้งแต่แรกด้วยการไม่กด แกะ บีบ สิวดีที่สุด