วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2558

กระชากวัย...ให้ใครๆ เรียกพี่

           ผู้หญิงร้อยทั้งร้อยรักสวยรักงาม เมื่อกาลเวลาล่วงเลยผิวพรรณก็ย่อมร่วงโรย ซึ่งปัญหาผิวพรรณนี่ล่ะ ที่ทิ่มแทงใจผู้หญิงเรามากที่สุด ส่องกระจกทีไรความมั่นใจถดถอยทู๊กที
      

               
             ฝรั่งเค้าว่า ชีวิตเริ่มต้นเมื่ออายุ 40 สำหรับผู้หญิงเราก็เริ่มต้นเหมือนกันค่ะ แต่เป็นการเริ่มความเครียดกังวล เรื่องผิวพรรณ เมื่อย่างเข้าเลข 4 วัย 40 อัพ ต้องเริ่มต่อสู้กับริ้วรงริ้วรอยที่ผิวหน้า ผิวก็ไม่อิ่มเอิบเหมือนเก่า ครั้นย่างเข้าเลข 5 นี่สิ ได้ตระหนกของแท้ ผู้หญิงวัย 50 อัพ สภาพผิวหน้าจะหย่อนคล้อยและริ้วรอยร่องลึกจะปรากฏบนใบหน้าอย่างชัดเจน


  ถ้าคุณไม่อยากนั่งส่องกระจกแล้วพึ่งคาถา “ทำใจ” หรือโป๊ะครีมชะลอริ้วรอยจนหมดไปหลายๆ กระปุกขอแนะนำหลากเทคนิคเพื่อผิวหน้ากระชับเต่งตึง (กรณีหน้าตึงเป็นพักๆ เพราะถูกทักว่า “ป้า” นี่ไม่เกี่ยว อันนั้นทั้งตึงทั้งเจ็บจี๊ดค่ะ) ซึ่งมีทั้งวิธีไม่ต้องผ่าตัด ไม่ลงมีดให้หวาดเสียว กับผ่าตัดดึงหน้าไปเลย เจ็บแต่จบ ผิวกระชับตึงขึ้นทันตา

      
         การฉีดฟิลเลอร์ หรือสารเติมเต็ม เข้าใต้ผิวหนัง จะช่วยลดริ้วรอยและรอยย่นตามผิวหน้า เช่น ร่องแก้มลึก รอยย่นหางตา รอยย่นบริเวณหน้าผาก สำหรับฟิลเลอร์ที่ใช้ในปัจจุบันเป็นสาร ไฮยาลูโรนิค แอซิด (Hyaluronic acid) ซึ่งปกติร่างกายคนเราจะมีสารตัวนี้เป็นส่วนประกอบตามธรรมชาติอยู่แล้ว คุณสมบัติของสารนี้ก็คือการรวมตัวกับน้ำและอุ้มน้ำไว้ทำให้ผิวหนังบริเวณที่เป็นริ้วรอยหรือร่องลึกตื้นขึ้น
  
 ปัจจุบันฟิลเลอร์มีใช้หลายตัว แต่องค์ประกอบหลักยังเป็นสารไฮยาลูโรนิค แอซิด เช่น Restylane, Juvederm ถ้าเป็น Juvederm จะมีการผสมยาชาปริมาณเล็กน้อยเข้าไปด้วยเพื่อช่วยลดความเจ็บปวดขณะฉีด    
   
 หลังฉีดฟิลเลอร์ช่วง 2-3 วันแรก ให้เลี่ยงใช้สารผลัดผิว เช่น AHA, BHA, Retinol ชั่วคราว หลังจากนั้นให้ใช้ครีมบำรุงได้ตามปกติ การฉีดฟิลเลอร์จะช่วยให้ริ้วรอย ร่องลึก หายไปได้นานประมาณ 6-12 เดือน บางคนอาจจะน้อยหรือมากกว่านี้ขึ้นกับหลายปัจจัย อาทิ อายุ ดูแลผิวยังไง ดำเนินชีวิตแบบไหน ฯลฯ


(2)  ฉีดโบท๊อกซ์ (Botox)

         โบท๊อกซ์ เป็นสารโปรตีนสกัดชนิดหนึ่งที่ทำให้กล้ามเนื้อที่ทำให้เกิดริ้วรอยหยุดการทำงาน ลดการหดตัวลง การฉีดโบท๊อกซ์ ช่วยลดริ้วรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้า เช่น รอยตีนกา รอยย่นหว่างคิ้ว รอยย่นบริเวณหน้าผาก ซึ่งหมอจะฉีดโบท๊อกซ์เข้าไปบริเวณที่ต้องการลดรอยย่น โดยใช้เข็มฉีดขนาดเล็กมาก และปริมาณยาฉีดไม่เกิน 1 ซี.ซี. หลังฉีดยา 3 ชั่วโมงแรกไปแล้ว ควรบริหารกล้ามเนื้อที่ฉีดบ่อยๆ เพื่อให้ยากระจายตัวได้ดี
         
         โดยทั่วไป รอยย่นบริเวณที่ฉีดโบท๊อกซ์จะค่อยๆ หายไปภายใน 3-7 วัน และสภาพผิวที่เรียบตึงนี้จะคงอยู่ได้นานประมาณ 8-10 เดือน


(3) ยกกระชับผิวหน้าด้วย...เทอร์มาจ (Thermage)


  เทอร์มาจช่วยให้ผิวหน้ายกกระชับขึ้น ริ้วรอยลดลง โดยการส่งผ่านคลื่นความถี่วิทยุ (Radiofrequency) ไปยังชั้นผิวที่ลึกเพื่อกระตุ้นคอลลาเจนที่มีอยู่เดิมและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ขณะทำจะรู้สึกร้อนลึกๆ ช่วงเวลาสั้น ๆ ไม่ต้องตกใจนะคะ เพราะนั้นบ่งชี้ว่า คอลลาเจนได้รับความร้อนในระดับที่ทำให้ผิวกระชับตัวได้ดี ขณะเดียวกันก็มีการให้ความเย็นเป็นช่วงๆ ขณะส่งผ่านพลังงานในแต่ละครั้งเพื่อปกป้องผิวหนังชั้นบนจากความร้อนด้วยค่ะ

  เทอร์มาจจะทำการรักษาเพียงครั้งเดียวสามารถรักษาได้ทุกสภาพสีผิว คนผิวคล้ำที่ไม่ค่อยกินเส้นกับเลเซอร์จึงเหมาะกับวิธีนี้ค่ะหลังทำคนไข้จะรู้สึกทันทีว่าผิวหน้ายกกระชับขึ้น เนื่องจากคอลลาเจนมีการหดตัวหลังจากได้รับพลังงานจากคลื่นวิทยุ หลังจากนั้นจะมีการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้เห็นผลชัดเจนอีกทีหลังทำประมาณ 3 - 6 เดือน ปกติแล้วผิวหน้าจะยกกระชับอยู่ประมาณ 1 - 2 ปี 







อัลเธอรา เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่นำคลื่นอัลตราซาวด์ที่มีความเฉพาะเจาะจงมาช่วยยกกระชับผิว ลดริ้วรอยที่ผิวหน้า โดยคลื่นอัลตราซาวด์ที่ถูกส่งไปยังชั้นใต้ผิวจะลงเป็นจุดเล็ก ๆ ระยะห่างระหว่างจุดเท่า ๆ กันประมาณ 1 มิลลิเมตร ซึ่งนอกจากจะทำให้พลังงานความร้อนที่ลงสู่ใต้ผิวมีความสม่ำเสมอแล้ว ยังสามารถลงลึกได้ถึงตำแหน่งที่ต้องการอีกด้วย แต่ขณะทำก็จะรู้สึกเหมือนมีหนามเล็ก ๆ แทงลงบนผิวลึก ๆ (แต่ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดอะไรมากมาย ไม่ต้องกังวลค่ะ) และจะรู้สึกอุ่น ๆ ที่ใต้ผิวหนังด้วย หลังทำบางคนอาจมีผิวแดงขึ้นเล็กน้อย แต่ไม่เกินชั่วโมงก็จะหายไปเอง

สำหรับพลังงานความร้อนจะไปกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนใหม่อย่างต่อเนื่อง ทำให้ผิวค่อย ๆ ตึง เรียบเนียนขึ้นทีละน้อย  และเห็นผลอย่างชัดเจนประมาณ 3 - 6 เดือนหลังทำเพียงครั้งเดียว




อีกหนึ่งเทคนิคไม่ต้องผ่าตัด โดยการร้อยไหมละลายเข้าไปใต้ผิวหนัง ซึ่งไหมจะไปกระตุ้นให้เกิดการหดตัวของคอลลาเจนใต้ผิว จึงอย่าแปลกใจถ้ารู้สึกว่าผิวหน้ายกกระชับขึ้นทันที จากนั้นไหมที่ร้อยเข้าไปจะค่อยๆ ละลายอย่างช้าๆ ซึ่งกว่าไหมจะสลายตัวหมดใช้เวลาประมาณ 6 – 8 เดือน ขณะที่ไหมละลายอยู่นั้นจะเกิดกระบวนการซ่อมแซมเนื้อเยื่ออย่างต่อเนื่อง การสร้างเส้นเลือดใหม่ และการสร้างคอลลาเจนใต้ผิว ซึ่งโครงสร้างคอลลาเจนที่เกิดขึ้นนี้จะช่วยค้ำจุนผิวทำให้ริ้วรอยเหี่ยวย่นลดเลือน ผิวกระชับเต่งตึงขึ้น เทคนิคร้อยไหมยังช่วยปรับรูปหน้าให้เรียว แก้ปัญหาโหนกแก้มต่ำ ร่องแก้มลึก มุมปากตก แก้มหย่อนคล้อย รวมถึงปัญหาคิ้วและหนังตาตกด้วย...ว้าว

สำหรับไหมที่จะใช้ร้อยดึงหน้าปัจจุบันนิยมใช้ไหม PDO (Polydioxanone)  ซึ่งเป็นไหมที่ใช้เย็บเนื้อเยื่อเกี่ยวพันหรือเส้นเลือดในร่างกาย มีใช้ในวงการแพทย์มานาน ได้รับการรับรองเรื่องความปลอดภัย ส่วนผลที่ได้จากการร้อยไหมจะอยู่ได้นานประมาณ 1-2 ปีค่ะ


คุณผู้หญิงที่มีผิวหน้าหย่อนคล้อยมาก ๆ เรียกว่าร่วงโรยเหี่ยวย่นตั้งแต่หน้ายันคอ จะพึ่งพาเทคนิคต่างๆ ที่กล่าวไปข้างต้น ก็แหม่...ช้าไม่ทันใจ งั้นแนะนำทำ ผ่าตัดดึงหน้า ไปเลย ข้อดีคือ แก้ไขใบหน้าที่หย่อนยานให้เต่งตึงขึ้นได้ทันตา ไม่เพียงเท่านั้นหมอจะเย็บขึงกล้ามเนื้อที่คอด้านข้างให้ตึงขึ้นด้วย  จะได้ตึงทั้งหน้าทั้งคอ ไม่ใช่ตึงแต่หน้าคอเหี่ยว อย่างนี้แทนที่ทำแล้วจะมั่นใจ มีหวังถูกทักจนเสียเซลฟ์ไปเลย

ทว่าคุณผู้หญิงที่จะผ่าตัดดึงหน้า ต้องรู้ด้วยว่า นี่เป็นการผ่าตัดใหญ่ ใช้เวลาทำนานประมาณ 2 - 4 ชั่วโมง  และต้องดมยาสลบ ฉะนั้นควรมีร่างกายแข็งแรงพอสมควรนะคะ ใครมีโรคประจำตัวหรือกินยาอะไรเป็นประจำต้องแจ้งคุณหมอด้วย อย่าคิดว่าชิลๆ ไม่เป็นไร ถ้าสูบบุหรี่ ก่อนทำก็หยุดซะ หลังทำก็รอจนกว่าแผลจะหาย
     
อีกเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจกันก่อนคือ แผลผ่าตัดดึงหน้านั้นค่อนข้างยาว ก็ไม่ต้องตกอกตกใจไป ปกติคุณหมอจะลงมีดตั้งแต่บริเวณเหนือหูขึ้นไปถึงบริเวณขมับ โดยผ่านผิวหนังหลังแนวผมเข้าไปตามขอบใบหูด้านหน้า และอาจจะเว้าขึ้นไปที่ติ่งหน้ารูหูเล็กน้อย แล้วต่อลงมาที่ติ่งหูด้านล่าง โค้งอ้อมติ่งหูไปทางด้านหลังหูตรงบริเวณซอกหลังใบหูขึ้นไป จากนั้นจึงลากผ่านเข้าไปในผมอีกทีเพื่อซ่อนแผลไว้ในแนวเส้นผม แผลที่โผล่ให้เห็นจึงอยู่ตรงบริเวณขอบหูด้านหน้าเท่านั้น หายแล้วก็เห็นไม่ชัด ส่วนบริเวณอื่นๆจะถูกซ่อนไว้ตามแนวเส้นผม
            
        หลังดึงหน้าอาการบวมมีแน่ๆ ทำใจไว้เลย ควรขยันประคบเย็นลดบวม ปกติอาการบวมหรือฟกช้ำจะเป็นนานประมาณ 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าเอาแบบเข้ารูปเข้ารอยจริงๆ ก็ราว 1 เดือน ส่วนความตึงของผิวหน้ามักจะอยู่ได้นานหลายปี แต่ขึ้นกับการดูแลผิวด้วย ต้องระวังพวกปัจจัยที่ทำร้ายผิวพรรณ สำหรับผลข้างเคียงที่คนมักกังวลคือ อาการชาที่หน้า นี่เป็นเรื่องปกติที่ต้องเจอ โดยทั่วไปการฟื้นตัวของเส้นประสาทที่เลี้ยงผิวจะใช้เวลาประมาณ 1-2 เดือนค่ะ



ขอบคุณข้อมูล : โรงพยาบาลยันฮี

ไม่มีความคิดเห็น: