วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

สาวอยากสลิม...น่าจะทำความรู้จัก “อัลตรา สลิม” ไว้นะ

        

        มาอีกล่ะ นวัตกรรมสลายไขมันส่วนเกิน กระชับสัดส่วน อัลตรา สลิม (Ultra Slim) ฟังแค่ชื่อก็ปังแล้วใช่มะ ก็คำว่า สลิม มันชวนให้ฝันว่าหุ่นจะสลิมสมชื่อไง แล้วจริงๆ ไอ้นวัตกรรมที่ว่านี่มันดีจริงหรือเปล่า คุณผู้อ่านที่สงสัยเหมือนกัน บอกเลยว่าไม่ต้องไปหาข้อมูลให้เสียเวลา เพราะผู้เขียนได้ไปสืบค้นมาฝากแล้วค่ะ

รู้ไว้ก่อน...กันหน้าแตก
ถ้าไปได้ยินคำว่า แอคเซนต์ อัลตรา (Accent Ultra) ก็ไม่ต้องตกใจ เฮ้ย! มีเทคโนโลยีใหม่ผุดมาอีกแล้วเรอะ Accent Ultra ก็คือ Ultra Slim สองคำนี้ความหมายเดียวกันค่ะ

Ultra Slim ทำอะไรได้บ้าง
        รู้แล้วต้องร้อง ว้าว กันเลยล่ะ


สลายไขมันส่วนเกินเฉพาะจุด อาทิ บริเวณใบหน้า 
ใต้คาง ต้นแขน เอว สะโพก ต้นขา หน้าท้อง ฯลฯ

ช่วยกระชับสัดส่วน

ลดเซลลูไลท์ หรือ ผิวเปลือกส้ม


Ultra Slim มีหลักการทำงานยังไง

ก็ไม่ได้ทำงานแบบข้ามาคนเดียวไง ตรงกับสุภาษิต “คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย” ค่ะ ก็เพราะว่า Ultra Slim จะเป็นการผสาน 2 เทคโนโลยีเพื่อความงามเอาไว้ด้วยกัน นั่นคือ การใช้พลังงานคลื่นอัลตร้าซาวด์ (Ultrasound) และ พลังงานคลื่นวิทยุ (Radio Frequency)
ส่วนของคลื่นอัลตราซาวด์ จะเป็นคลื่นที่จำเพาะเจาะจงในการทำให้เซลล์ไขมันแตกสลาย โดยไม่ทำลายเส้นเลือด และเส้นประสาทในบริเวณที่ทำ
ส่วนของคลื่นความถี่วิทยุ ช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันใต้ผิวหนัง กระตุ้นให้เกิดการจัดเรียงตัวของเส้นใยคอลลาเจนให้เป็นระเบียบมากขึ้น กระตุ้นระบบไหลเวียนน้ำเหลืองทำให้เซลล์ไขมันที่แตกตัวถูกดูดซึม และไหลเวียนออกมาตามระบบน้ำเหลืองได้ดีขึ้น

วางใจ Ultra Slim ได้เพียงใด
·   เป็นการขจัดไขมันส่วนเกินโดยใช้เทคโนโลยีอันทันสมัย ไม่มีการลงมีดผ่าตัดให้เจ็บตัว
·   ไม่มีอาการเจ็บระหว่างทำ

      ·   มั่นใจได้ในประสิทธิภาพและความปลอดภัย เนื่องจาก Ultra Slim ผ่านการรับรองทั้ง อย. ไทย และ สหรัฐ





เตรียมตัวให้มั่นใจก่อนทำ

แพทย์จะตรวจเช็คประวัติ ถ้าร่างกายแข็งแรงดีไม่มีโรคประจำตัว สามารถทำได้เลย คนไข้ก็มักทำในวันที่มาพบหมอนั่นแหละ แต่บางคนสุขภาพไม่อำนวยไง หมอก็ต้องพิจารณาเป็นเคส ๆ ไป ไม่ใช่ตะพรึดตะพรือทำให้ เดี๋ยวจะเป็นอันตรายต่อคนไข้ อย่างคนที่เป็นมะเร็ง โรคหัวใจ เบาหวาน มีภาวะติดเชื้อ ตั้งครรภ์ และอีกหลายๆ ภาวะที่ไม่เหมาะจะทำ คุณหมอก็ต้องเบรกไว้ก่อน หน้าที่คุณคือบอกประวัติคุณหมอไปตามจริงเพื่อให้คุณหมอพิจารณาว่าคุณเหมาะจะทำได้หรือไม่ค่ะ



สเต็ปการทำ...ใครว่าน่ากลัว


·   เริ่มจากทาครีมในบริเวณที่จะทำการรักษา
·  หลังทาครีมแล้ว จะเริ่มใช้หัวยิงอัลตร้าซาวด์ปล่อยพลังงานลงไปตรงบริเวณที่ทำการรักษา แล้วนวดคลึงไปรอบๆ ขณะทำจะรู้สึกอุ่นๆ สบายๆ ตรงบริเวณที่ทำเล็กน้อย
·   หลังจากนั้นจะเปลี่ยนไปใช้หัวยิงคลื่นวิทยุโดยจะปล่อยพลังงาน เพื่อเพิ่มความกระชับของผิวให้มากขึ้น ขณะทำอาจรู้สึกร้อนตรงบริเวณที่ทำในระดับทนได้


·   ส่วนเวลาที่ทำต้องดูว่าบริเวณที่ทำมากน้อยแค่ไหน ถ้าน้อยก็ใช้เวลาน้อย ถ้าเยอะก็นอนทำนานหน่อย โดยเฉลี่ยจะใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
·   หลังรักษาเสร็จก็กลับไปใช้ชีวิตได้ตามปกติ ไม่ต้องพักฟื้นหรือคอยหลบหน้าผู้คน ข้อนี้โดนใจจริงๆ ค่ะ ก็ไม่อยากให้ใครรู้ว่าไปทำสวยมานี่เนอะ

ผลอาจมีบ้างหลังทำ...ไม่ต้องตกใจ

·  ผิวไปผ่านอะไรมายังงี้ ก็อาจมีบ้างที่ผิวจะแดงหรือเป็นสีชมพูระเรื่อ และรู้สึกอุ่นๆ บริเวณที่ทำ แต่อย่ากังวลเพราะไม่ได้เป็นไปตลอด แค่ช่วงสั้น ๆ 24 ชั่วโมงก็จะหายไป


·    ช่วง 3 วัน คนไข้ต้องทำอะไรมั่ง...(แล้วเคร่งครัดด้วยล่ะ)
-  ดื่มน้ำอย่างน้อย 8-10 แก้ว/วัน
-  หลีกเลี่ยงการออกกำลังกายที่ต้องมีการเสียเหงื่อ
-  ห้ามอบซาวน่า
-  ห้ามดื่มแอลกอฮอล์

หลังทำแล้ว...ยังไงต่อ

·  จำนวนครั้งในการทำขึ้นกับระดับไขมันส่วนเกิน และสภาพผิวของคนไข้ เดี๋ยวคุณหมอก็จะแนะนำเองค่ะว่าควรทำกี่ครั้งถึงจะเห็นผลดี ถ้าต้องทำซ้ำต้องทิ้งช่วงห่างกันประมาณ 2 สัปดาห์ ให้ผิวหนังได้ฟื้นตัวบ้าง


            ·   ปกติผลจะสังเกตเห็นชัดเจนหลังทำไปแล้ว 4-6 ครั้ง คนไข้จะพบว่าไขมันส่วนเกินลดลง ผิวเรียบเนียนขึ้น และรูปร่างกระชับมากขึ้น แต่ไม่ใช่ทุกรายนะคะ บางคนมีไขมันส่วนเกินค่อนข้างเยอะแล้วหวังเห็นผลตามจำนวนครั้งที่บอกไปนี่ก็คงไม่ใช่ ถ้าอยากเห็นผลก็ต้องเพิ่มจำนวนครั้งในการทำมากขึ้น แต่จะเป็นกี่ครั้งต้องให้คุณหมอเป็นคนตอบค่ะ









ขอบคุณข้อมูล & ภาพประกอบ  : โรงพยาบาลยันฮี

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แต่งตัวอำพรางหุ่น

ผู้หญิงเราถ้าหุ่นไม่เป๊ะ บางคนอวบอั๋น บางคนช่วงล่างใหญ่ หรือต้นแขนล่ำเป็นท่อนซุง  เชื่อเหอะ กลุ้มใจเรื่องแต่งตัวทุกคน ไอ้ครั้นจะแต่งตัวตามใจฉันแบบสาวมั่นก็ลังเล เอ...มันจะเหมาะรึเปล่า รูปร่างไม่ช่วยแล้วยังแต่งตัวไม่ส่งอีก เพื่อนฝูงได้เม้าท์กันสนุกปากแน่ แล้วจะแต่งตัวแบบไหนไม่ให้ไปเน้นย้ำไอ้ที่พอกๆ เกินๆ ดีล่ะ ถ้ายังคิดไม่ออกขอแนะนำเทคนิคแต่งตัวอำพรางหุ่นอวบๆ ของคุณให้ลองนำไปปฏิบัติกันดูค่ะ


เลือกแต่ง...เลือกให้เป็น


พรางด้วยสี
เมื่อไหร่ที่คุณไปช็อปปิ้ง ควรเชิดใส่เสื้อผ้าโทนสีอ่อนๆ ไว้นะคะ ให้พยายามเลือกโทนสีเข้มๆ หรือสีดำเป็นหลัก เพราะโทนสีเข้มช่วยพรางให้หุ่นที่อวบอัดของคุณดูเพรียวขึ้นได้ ถ้าใส่เสื้อโทนสีเข้มทั้งชุดก็จะยิ่งทำให้คุณดูผอมเพรียวขึ้นเยอะเลยล่ะ แต่หากสาวๆ ตัดใจจากเสื้อผ้าโทนสีอ่อนๆ ไม่ได้ ก็คงต้องชั่งใจว่าอยากให้ตัวคุณดูผอมเพรียวขึ้นมั้ย ถ้าไม่สนก็จัดไปตามชอบ แต่ถ้าอยากให้คนมองว่ารูปร่างคุณเพรียวขึ้นล่ะก็ เสื้อผ้าโทนสีเข้มต้องไม่พลาด


เนื้อผ้าก็พรางได้
คนอวบอั๋นต้องรู้จักเลือกเนื้อผ้าที่จะสวมใส่ด้วย อย่างเสื้อผ้าที่เนื้อหนาเกินไป บอกลาไปซะ เพราะทำให้คุณดูตัวหนาอวบอ้วนขึ้นไปอีก ควรเลือกเสื้อผ้าที่มีเนื้อมันหรือบางเบาพลิ้วลมซึ่งจะไม่เน้นรูปร่างและช่วยปกปิดส่วนเกินได้


รูปแบบไหนพรางตา
ถึงตอนผอมคอจะเรียวยังไง พอไขมันมาพอกคอหนาขึ้นก็ทำให้มองดูคอสั้นได้ ถ้าอยากเพิ่มความเรียวยาวให้กับคอ ควรเลือกเสื้อที่ส่วนคอค่อนข้างเปิดกว้าง เช่น คอรูปตัววี คอปาด หรือแบบเปิดไหล่
ถ้าชอบสวมกระโปรง ควรเลือกกระโปรงยาวเพราะทำให้รูปร่างดูสูงเพรียวขึ้น
ชุดเอี๊ยมน่ารักๆ ปล่อยให้เด็กๆ เค้าใส่ไปเหอะ ถ้าคุณขืนใส่จะทำให้ดูตัวอ้วนขึ้น ไม่เวิร์กค่ะ ไม่เวิร์ก


ระวังพวก...ลวดลาย
เสื้อผ้าที่มีระบายฟูฟ่องหรือลูกไม้ห้อยระย้าเก็บไปเลยค่ะ ไม่ผ่านอย่างแรง ถ้าจะใส่เสื้อที่มีลวดลาย หนีให้ไกลเสื้อลายขวางเพราะจะเน้นให้คุณดูอวบอั๋นขึ้น ถ้าอยากใส่จริงขอให้เป็นลายตรงที่ทำให้คุณดูตัวสูงขึ้น ส่วนกางเกงที่มีกระเป๋ารอบตัวคัดออกจากตู้เสื้อผ้าซะ ชุดแบบนี้อาจดูเก๋ไก๋น่ารักในสายตาคุณ แต่คนอื่นจะมองว่าคุณเหมือนลูกโป่งที่พองตัวเต็มที่


เสริมบางสิ่งก็พรางตาได้นะ
รองเท้าส้นสูงช่วยให้คุณดูเพรียวขึ้นได้ ควรเป็นรองเท้าหัวแหลมแบบเรียบๆ ส่วนส้นควรสูงตั้งแต่หนึ่งนิ้วขึ้นไป ไม่แนะนำรองเท้าที่มีของประดับอย่างพวกโบว์ สายคาด หรือหัวเข็มขัด เพราะทำให้เท้าของคุณดูกว้างมากขึ้น
เครื่องประดับอย่างสร้อยคอช่วยให้ลำคอแลดูยาวขึ้นได้ ควรเลือกสร้อยคอที่หลวมสักเล็กน้อย สร้อยที่รัดคอแน่นเกินไปจะทำให้ลำคอของคุณดูสั้นเต่อ รวมถึงสาวที่คิดเพิ่มความเก๋ไก๋ด้วยผ้าพันคอ ต้องระวังเช่นกัน ควรพันแบบหลวมๆ ถ้าพันรัดแน่นเกินไปก็ทำให้ลำคอของคุณดูสั้นได้ค่ะ


กางเกงพรางก้นและสะโพก
สาวๆ ที่ก้นและสะโพกใหญ่ พับเก็บกางเกงหลวมๆ สีอ่อนเข้าตู้ไปซะ ไม่ใช่เรื่องที่จะมาตอกย้ำความใหญ่ของก้นและสะโพกให้ตัวคุณเองหมดความมั่นใจ ควรเลือกใส่กางเกงรัดรูปสีเข้มๆ  สีดำยิ่งแจ๋ว จะช่วยพรางให้ก้นและสะโพกของคุณดูไม่ใหญ่โตเทอะทะเกินไป ถ้าไม่ชอบใส่สีเข้มทั้งตัว เพิ่มความแซ่บด้วยเสื้อสีโทนร้อนแรงช่วยให้คุณเปรี้ยวเข็ดฟันได้



กระโปรงพรางก้นและสะโพก
สาวที่ช่วงบนเล็กแต่ช่วงล่างใหญ่ ถ้าชอบใส่กระโปรงควรเลือกกระโปรงยาวทรงเอไลน์ คือตัวกระโปรงจะแคบด้านบนและขยายด้านล่าง เวลาใส่ด้านบนของกระโปรงจะแนบติดกับสะโพก ส่วนด้านล่างจะขยายกว้างช่วยอำพรางสะโพก ก้นและต้นขาได้


พรางต้นแขน
ถ้าต้นแขนใหญ่ล่ำทำให้คุณหมดความมั่นใจยามส่องกระจก ให้เลี่ยงใส่เสื้อแขนกุดโชว์แขนซะ แล้วเปลี่ยนไปใส่เสื้อแขน  ส่วนแทนเพื่อปกปิดต้นแขนที่ใหญ่โตของคุณ



เลือกยีนส์ให้เหมาะ           
กางเกงยีนส์ไม่ได้จำกัดให้ใส่เฉพาะคนหุ่นดี สาวที่มีสะโพกและต้นขาใหญ่ก็สวยเท่ได้ค่ะ
ควรเลือกกางเกงยีนส์เอวต่ำที่เข้ากับรูปร่างได้พอดี
-   อย่าเลือกใส่ยีนส์ตัวหลวมๆ เพราะจะยิ่งทำให้ดูตัวใหญ่มากขึ้น
-   ไม่ควรใส่กางเกงยีนส์เอวหลวมต่ำมาก ๆ เพราะจะทำให้ลำตัวดูยาวมากขึ้น แต่ช่วงขาดูสั้นลง
-   ควรเลือกยีนส์ที่เป็นสีเข้มๆ จะช่วยอำพรางสะโพกและต้นขาที่ใหญ่ให้ดูเล็กลงได้


พกความมั่นใจใส่ชุดว่ายน้ำ
สาวอวบที่กำลังหาซื้อชุดว่ายน้ำ ควรเลือกชุดให้เหมาะกับรูปร่าง จะได้นอนเล่นชิล ๆ ริมสระบ้าง ไม่ใช่ต้องหลบอยู่ในน้ำตลอดเวลา
-   ถ้าคุณเป็นคนหน้าท้องใหญ่ ควรเลือกชุดที่ไล่โทนสีโดยช่วงบนควรมีสีเข้มกว่าช่วงล่าง หรือจะเลือกชุดที่ช่วงล่างเป็นลวดลายเพื่อหันเหสายตาไปจากรูปร่างของคุณก็ได้
-   ถ้าคุณเป็นคนสะโพกใหญ่ ควรเลือกชุดลายทแยงมุมแบบเรียบๆ พวกระบายหรือจีบรอบตัวนี่บอกลาขาดไปเลย เพราะจะยิ่งทำให้สะโพกดูมหึมากว่าเดิม


วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ปะ...ไปกันทำฟัน 24 ชั่วโมง

          เย้! ปรบมือรัวๆ ค่ะ เดี๋ยวนี้บาง รพ. เค้ามีบริการทำฟัน 24 ชม. แล้วนะ ดีใจซะจนอดไม่ไหวต้องมาป่าวประกาศให้รู้ เรียกว่าคนไข้สามารถเดินเข้า รพ. ไปทำฟันสะดวกเหมือนเดินเข้า 7-ELEVEN ยังไงยังงั้น จะเช้า สาย บ่าย ดึก ไม่มีขึ้นป้าย “หมดเวลาบริการ”...โอ้วว มันยอดมาก

          ที่ผู้เขียนดีใจจนออกนอกหน้าอย่างนี้ เพราะมองว่าเรื่องของ “ฟัน” ไม่ใช่ปัญหาขี้ปะติ๋ว ใครไม่เจอด้วยตัวเองไม่มีวันเข้าใจ อย่างปัญหาฉุกเฉินของฟัน เช่น ปวดฟัน ฟันหัก ฟันแตก หรือบางคนหนักหน่อยอุบัติเหตุฟันหลุดร่วง บอกเลยว่าปวดทรมานสุดๆ เป็นใครก็อยากรีบแจ้นไปพบหมอฟันกันทั้งนั้น แต่เมื่อก่อนมันทำไม่ได้ไง เนื่องจากคลินิกหรือ รพ. ต่างๆ ยังไม่มีที่ไหนเปิดทำฟัน 24 ชม. ส่วนใหญ่เวลาทำการก็ประมาณ 8 โมงเช้า ถึง 2 ทุ่ม หรูหน่อยก็ 4 ทุ่ม  ซึ่งถ้าปัญหาของฟันดันมาเกิดเอาช่วงเวลากลางคืนดึกๆ ดื่นๆ ที่ไม่มีคลินิกทำฟันไหนเปิดเลยเนี่ยจบเลยนะ จะดราม่าตีโพยตีพายไปก็ช่วยอะไรไม่ได้ ก็ต้องทนปวดทนทรมานข้ามคืนกันไปนั่นแหละ


          ถ้าเป็นอย่างงั้นบอกเลยว่าชวนสยองมาก ปวดฟันนี่ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ นะคะ ผู้เขียนเลยรู้สึกดีใจสุดๆ พอรู้ว่ามี รพ. บางแห่งเปิดบริการทำฟัน 24 ชม. (อ้อ...ย้ำว่าบางแห่งเท่านั้นนะคะ เดี๋ยวไปแล้วเค้าไม่เปิดจะมาเคืองกันทีหลัง กรุณาตรวจสอบกันก่อนว่ามี รพ.ไหนบ้างที่เปิด 24 ชม. เท่าที่ผู้เขียนรู้ก็อย่าง รพ.เอกชนชื่อดังย่านจรัลสนิทวงศ์ บอกใบ้ขนาดนี้ไปเดากันเอาเองนะคะ) ประโยชน์จึงตกกับคนไข้เต็มๆ ไม่ต้องดูอื่นไกลลองนึกว่าเป็นตัวเราที่มีปัญหาฉุกเฉินของฟันกลางค่ำกลางคืนแล้วเราสามารถบึ่งไป รพ. เพราะรู้ว่ามีหมอฟันสแตนด์บายรออยู่ แหม่...มันอุ่นใจบอกไม่ถูก จะฉุกเฉินจะมาเวลาไหนก็ถึงมือหมอฟันทันท่วงที


   ส่วนข้อดีของบริการทำฟัน 24 ชม. ที่เห็นชัดๆ อีกอย่าง แถมผู้เขียนยังมีประสบการณ์ตรงด้วยก็คือ ไม่ต้องลางานมาทำฟัน หัวอกคนทำงานคนทำมาหากินจะมาลางานนู่นนั่นนี่บ่อยๆ คงได้ถูกเจ้านายเพ่งเล็งเป็นแน่ บางทีถูกตัดเงินเสียรายได้ แถมเสียประวัติอีก โอ๊ย...แทบหมดใจลาไปทำฟันกันเลยทีเดียว แล้วการทำฟันบางอย่างก็ใช่ว่าจะลางานมาวันเดียวแล้วจบนะ อย่างรักษารากฟันนี่อย่างเบาะๆ ก็ 3 วันแล้ว ทีนี้พอหาเวลาว่างหลังเลิกงานได้บ้าง เอ้า คลินิกทำฟันก็ปิดซะอีก จะปล่อยปัญหาไว้ก็ใช่ที่ ก็ต้องกัดฟันลางานกันไปแบบไม่มีทางเลือก พอมีบริการทำฟัน 24 ชม. อย่างนี้ คนไข้ก็สามารถจัดสรรเวลามาทำฟันโดยไม่กระทบเวลางานได้ คนไข้มีทางออกแบบสวยๆ รพ.ก็ได้ใจคนไข้ไปเต็มๆ วิน วิน ทั้งสองฝ่าย

   
   และเชื่อมั้ยว่า โรงพยาบาลที่กล้าเปิดทำฟันตลอด 24 ชม. ต้องไม่ไก่กาแน่ๆ ศักยภาพต้องพร้อมจริงๆ ถึงจะกล้าทำ คิดถึงจุดนี้แล้วความมั่นใจใช้บริการยิ่งมา ไม่ต้องเสียเวลาให้ใครมาอวย อย่าง รพ.ที่ผู้เขียนเคยไปใช้บริการ แอบลองเลียบเคียงถามเจ้าหน้าที่ดูก็บอกว่าที่นี่มีคุณหมอเพียบ และยังหลากหลายสาขา เครื่องไม้เครื่องมือก็ทันสมัย บริการไม่ต้องพูดถึง จัดเต็มครบวงจร ทั้งทันตกรรมเพื่อการรักษา เช่น ถอนฟัน, อุดฟัน, ขูดหินปูน, รักษาโรคเหงือก, รักษารากฟัน ฯลฯ หรือทันตกรรมเพื่อความงาม เช่น จัดฟัน, ตกแต่งช่องฟันห่าง, ฟอกสีฟัน เป็นต้น


   มีดีก็ต้องชมและบอกต่อ ส่วนราคาค่าบริการก็ตามสไตล์ รพ.เอกชนทั่วไป ถ้าคิดว่าคุ้ม ยอมควักจ่ายซื้อความสะดวกสบายล่ะก็ เรียนเชิญไปสัมผัสประสบการณ์ทุกเวลาที่สะดวกค่ะ 


วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เมื่อฟันลาก่อน...ฟันปลอมต้องมา


“เหงือกจ๋าฟันลาก่อน”

คงไม่มีใครอยากให้คำพูดนี้เป็นจริง แต่พอคนเราแก่ตัวการสูญเสียฟันแท้ไปอย่างถาวรย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราจึงเห็นคนแก่ที่ฟันฟางหลุดร่วงหมดปากต้องพึ่งฟันปลอมทำหน้าที่แทนในการบดเคี้ยวอาหาร แต่บางคนยังหนุ่มยังสาวอยู่แท้ๆ ดันมีเหตุให้ต้องสูญเสียฟันไปก่อนวัยอันควรก็มี เช่น ตอนฟันยังดีอยู่ไม่ใส่ใจดูแลจนฟันผุกร่อนเกินเยียวยาต้องถอนทิ้งไป ทีนี้ปัญหาก็บังเกิดสิคะ พอฟันหายไปทำให้เกิดช่องว่างระหว่างฟันก็อาจเกิดฟันล้มได้ หรือใครที่ฟันหน้าหายไปสักซี่ ยิ้มทีฟันหลอโชว์หรา อย่างนี้เสียทั้งหน้าเสียทั้งความมั่นใจกันเลยทีเดียว กรณีอย่างนี้ก็ถึงเวลามองหาตัวช่วยอย่าง ฟันปลอม แล้วค่ะ


คำว่าฟันปลอมได้ยินกันมานาน บ้านไหนมีคนเฒ่าคนแก่ก็จะคุ้นชินเวลาเห็นคุณตาคุณยายหยิบมาใส่ ส่วนฟันปลอมรูปแบบอื่นถ้าไม่มีประสบการณ์เคยใส่มาก่อนอาจไม่คุ้นหูคุ้นตาเท่าไหร่ งั้นมาทำความรู้จักฟันปลอมกันสักนิด เผื่อว่าสักวันมีโอกาสพึ่งบริการจะได้ไม่งงเป็นไก่ตาแตก

ฟันปลอมนับเป็นฟันชุดที่สามของชีวิต ฟันชุดแรกก็คือ ฟันน้ำนม ถัดมาเป็นฟันแท้ หมดจากนั้นก็หนีไม่พ้นฟันปลอมนี่ล่ะค่ะ


โดยปกติฟันปลอมจะมี 2 ชนิด คือ (1) ฟันปลอมชนิดถอดได้ และ (2) ฟันปลอมชนิดติดแน่น สองชนิดนี้ต่างกันยังไงไปดูกัน

ฟันปลอมชนิดถอดได้

อย่างชื่อบอกนั่นแหละ ฟันปลอมชนิดนี้คุณสามารถถอดเข้าถอดออกได้ทุกเวลา คือจะถอดทำความสะอาดล้างขัดถูตอนไหนก็ได้ ส่วนตอนกลางคืนเวลานอนก็ถอดแช่น้ำไว้ อย่าใส่นอนเพราะถ้าชิ้นฟันเล็กอาจหลุดลงคอเป็นอันตรายได้ ฟันปลอมชนิดนี้ถ้าเทียบกับฟันปลอมชนิดติดแน่นราคาต่อชิ้นจะถูกกว่า  คือประมาณหลักพันถึงหลักหมื่นต้น ๆ เท่านั้น และจุดเด่นอีกอย่างของฟันปลอมชนิดถอดได้คือ คุณหมอจะกรอแต่งเนื้อฟันธรรมชาติข้างเคียงน้อย โอกาสเสียวฟันจึงน้อยตามไปด้วย

แต่ข้อด้อยของฟันปลอมชนิดถอดได้ก็มี นั่นคือ ชิ้นของฟันปลอมที่ค่อนข้างใหญ่ ทำให้ไม่สะดวกสบายเวลาจะใส่  ใส่แล้วรู้สึกรำคาญ การถอดออกมาล้างทำความสะอาดทุกวันนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่บางคนไม่ปลื้ม แถมบางครั้งอาจเห็นตะขอด้วยเวลายิ้ม โอวว...เกินทำใจยอมรับได้ ซึ่งก็ทำให้บางคนหันไปเลือกฟันปลอมชนิดติดแน่นแทนแม้ราคาจะสูงกว่าก็ตาม

สำหรับฟันปลอมชนิดถอดได้จะมี 2 แบบ คือ

ฟันปลอมแบบเต็มปาก
ฟันปลอมแบบเต็มปาก สำหรับคนที่สูญเสียฟันแท้ไปหมดทั้งปาก อย่างผู้สูงอายุที่เหลือแต่เหงือก ก็ต้องใส่ฟันปลอมแบบเต็มปากนี่ล่ะค่ะ ลักษณะของฟันปลอมแบบนี้จะแยกชิ้นบน – ชิ้นล่าง โดยฐานจะเป็นอะคริลิคสีเหมือนเหงือก ถ้าใครเคยสังเกตจะเห็นว่าฟันปลอม 2 ชิ้นบน – ล่าง จะมีลักษณะต่างกัน ชิ้นบนจะมีฐานให้ไปติดกับเพดานปากได้ ส่วนชิ้นล่างลักษณะจะเหมือนเกือกม้า ซึ่งในการผลิตคุณหมอฟันจะพิมพ์ปากของคนไข้แล้วนำไปทำเป็นฟันปลอมในห้องปฏิบัติการทันตกรรม จึงเป็นชิ้นงานเฉพาะสำหรับคนไข้แต่ละคน โดยตัวฐานเหงือกของฟันปลอมจะติดพอดีกับเหงือกของคนไข้เท่านั้น บอกเลยงานนี้หมดสิทธิ์ยืมกันใช้นะคะ จริงๆแล้วก็ยืมกันใช้ไม่ได้ไม่ว่าจะเป็นฟันปลอมแบบไหน เพราะการเรียงตัวของฟันแต่ละคนไม่เหมือนกันอยู่แล้ว 

โดยทั่วไปฟันปลอมแบบทั้งปากจะใส่หลังจากฟันถูกถอนออกหมดและเนื้อเยื่อฟื้นตัวดีแล้ว ซึ่งอาจใช้เวลาหลายเดือน คนไข้จึงต้องทนไม่มีฟันเคี้ยวไปสักพักก่อน แต่ถ้าไม่ชอบรอก็มีฟันปลอมทั้งปากแบบทันที ให้ได้เคี้ยวอาหารแบบชิลๆ แต่อะไรที่เร่งด่วนก็มีข้อเสียค่ะ อย่างที่บอกไปว่าหลังฟันถูกถอนออกหมดเนื้อเยื่อต้องมีการฟื้นตัว อย่างกระดูกที่รองรับฟันก็มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาที่ฟื้นตัว ถ้าทำฟันปลอมทันทีก็ทำให้ฟันปลอมหลวมได้ คนไข้ก็ต้องมาปรับเปลี่ยนฟันปลอมหลังจากใส่ไปแล้ว


ฟันปลอมแบบบางซี่ี
ฟันปลอมแบบบางซี่ เชื่อว่ามีคนจำนวนไม่น้อยที่เจอปัญหาฟันโบกมือลาก่อนวัยอันควร ซึ่งคนเหล่านี้อาจสูญเสียฟันไปบางซี่ หรือหลายซี่ แต่ไม่ได้หายวับไปหมดทั้งปากเหมือนแบบแรก ถ้าอยากใส่ฟันปลอมชนิดติดแน่นแต่ติดปัญหาเม็ดเงินในกระเป๋า การแก้ไขด้วยการใส่ฟันปลอมชนิดถอดได้เป็นทางเลือกที่แนะนำ ถึงจะไม่ชอบที่ต้องใส่ๆ ถอดๆ ก็ยังดีกว่าปล่อยให้ช่องฟันโหว่อยู่ เสี่ยงฟันล้มแถมยังเสียบุคลิกภาพ สำหรับฟันปลอมบางซี่ชนิดถอดได้ที่นิยมกันมี 2 แบบคือ แบบฐานอคริลิก และแบบฐานโลหะ

ถ้าเป็นฐานอคริลิกราคาจะถูกกว่าแบบฐานโลหะ  ซ่อมแซมได้ง่าย แถมเติมฟันเพิ่มได้ด้วยถ้ามีการถอนฟันเพิ่มในอนาคต แต่ก็ต้องระวังเรื่องการแตกหัก ส่วนแบบฐานโลหะ สบายใจได้เรื่องความแข็งแรง ไม่แตกหักง่าย  ใส่ก็สบายกว่าไม่น่ารำคาญเพราะมีความบาง แต่ราคาก็สูงกว่าด้วย ปกติฟันปลอมทั้ง 2 แบบนี้จะมีตะขอช่วยเสริมยึดฟันปลอมกับฟันจริง ทำให้เสียความสวยงามไปบ้าง คือเวลายิ้มอาจจะเห็นตะขอเกี่ยวได้ บางคนติดตรงตะขอนี่แหละ ทำให้ไม่ชอบ ก็มีอีกหนึ่งทางเลือกเป็นฟันปลอมชนิดถอดได้เหมือนกัน เรียกว่า ฟันปลอมฐานวอลพลาส ที่ยืดหยุ่น บิดงอได้ ไม่แตกหัก เพราะทำจากวัสดุพอลิเมอร์ ฟันปลอมที่ว่านี้จะไม่มีตะขอโลหะมาให้รกตา แต่ก็มีข้อจำกัดคือ คนไข้ต้องสูญเสียฟันไม่กี่ซี่  และไม่สามารถซ่อมแซมหรือเติมฟันในอนาคตได้


ฟันปลอมชนิดติดแน่น
       
         ถ้าเบื่อที่ต้องถอดๆ ใส่ๆ ฟันปลอม บางทีฟันปลอมหลวมมีหลุดให้ขายขี้หน้าอีก อย่างนี้คงต้องหันมาเลือกใส่ฟันปลอมชนิดติดแน่น แต่บอกก่อนว่าฟันปลอมแบบติดแน่นราคาค่อนข้างแพงถึงแพงมาก  ราคาหลักหมื่นจนถึงหลายหมื่นบาท ถ้างบไม่อำนวยนี่ไม่แนะนำ แต่ถ้าเงินไม่ใช่ปัญหาก็จัดไปตามชอบได้เลย แต่ไม่ได้หมายความว่าฟันปลอมชนิดนี้จะเหมาะกับทุกคนนะคะ คุณหมอจะต้องพิจารณาสภาพฟันของคนไข้ก่อนว่าเหมาะจะทำได้มั้ย ซึ่งสภาพที่เหมาะสมคือ จะต้องไม่มีฟันหรือถอนฟันไปเพียงไม่กี่ซี่ และฟันซี่อื่นที่ยังเหลือต้องอยู่ในสภาพดีด้วย ถ้าสภาพฟันไม่พร้อมถึงมีเงินจ่ายคุณหมอก็ไม่หลับหูหลับตาทำให้ค่ะ
         
          อีกอย่างที่ต้องบอกให้รู้ก็เรื่องการทำความสะอาด ถึงฟันปลอมแบบถอดได้จะยุ่งยากต้องถอดออกมาล้าง แต่ถ้าพูดในเรื่องความสะอาดก็ต้องยอมรับว่าทำความสะอาดได้ง่ายกว่าฟันปลอมแบบติดแน่น เนื่องจากสามารถถอดออกมาล้างมาแปรงภายนอกได้ ขณะที่ฟันปลอมแบบติดแน่นนั้นจะคล้ายการทำความสะอาดฟันปกติทั่วไป ต้องทำความสะอาดให้ทั่วรวมถึงบริเวณซอกฟันด้วย จึงทำความสะอาดได้ยากกว่า


         สำหรับฟันปลอมชนิดติดแน่นจะมี 2 แบบ คือ
         
ฟันปลอมติดแน่นด้วยสะพานฟัน
         ฟันปลอมชนิดติดแน่นด้วยสะพานฟัน สำหรับการใส่ฟันปลอมชนิดติดแน่นด้วยสะพานฟันในตำแหน่งที่ไม่มีฟันหรือฟันได้ถูกถอนออกไปนั้น คุณหมอจะต้องกรอแต่งฟันธรรมชาติที่อยู่ด้านข้างตำแหน่งฟันที่ว่างนั้นก่อน แล้วจึงใส่ชิ้นฟันปลอมโดยใช้ฟันธรรมชาติที่ถูกกรอเป็นหลักยึดฟันปลอมไว้ ความยุ่งยากอาจเพิ่มขึ้นถ้าฟันมีการล้มเอียง คุณหมออาจต้องกรอฟันมากขึ้น บางทีฟันจริงที่ใช้เป็นหลักยึดอยู่ในสภาพไม่พร้อมก็ต้องรักษารากฟันก่อน ช่องว่างฟันแคบหรือกว้างเกินไปนี่ก็เป็นอุปสรรคในการทำได้เช่นกัน กรณีฟันธรรมชาติข้างเคียงไม่สามารถเป็นหลักยึดให้ฟันปลอมได้ คุณหมออาจแนะนำทำฟันปลอมรากฟันเทียมของซี่ข้างเคียงเพื่อใช้เป็นฐานรองรับสะพานฟันก่อน แต่ราคาก็จะอัพตามไปด้วย ถ้าคนไข้จ่ายไม่ไหวก็อาจต้องบอกผ่านวิธีนี้ค่ะ

ฟันปลอมรากฟันเทียม
        ฟันปลอมชนิดติดแน่นด้วยรากฟันเทียม ฟันปลอมชนิดนี้ไม่ต้องหาที่ยึดเกาะกับฟันข้างเคียงใดๆ การกรอแต่งฟันข้างเคียงจึงไม่จำเป็น ตะขอก็ไม่มีมาให้รำคาญใจ โดยฟันปลอมรากฟันเทียมจะใช้การฝังตัวรากเทียมลงในกระดูกขากรรไกร จากนั้นก็นั่งรอนอนรออย่างน้อย 3 – 4 เดือน จนกระดูกยึดกับรากเทียมแล้วนั่นแหละ ถึงจะต่อหรือยึดตัวฟันปลอมลงไปทดแทนฟันธรรมชาติที่สูญเสียไป จะทดแทนฟันซี่เดียว หรือหลายซี่ก็ได้ ไม่เพียงเท่านั้นบางทีคุณหมอก็อาจแนะนำทำฟันปลอมรากฟันเทียมเพื่อใช้เป็นฐานรองรับสะพานฟัน หรือคนที่ใส่ฟันปลอมทั้งปากแล้วหลวมก็สามารถช่วยเสริมให้ฟันปลอมแน่นขึ้นได้ด้วย   

ฟันปลอมรากฟันเทียมจะมีความสวยงามและประสิทธิภาพในการบดเคี้ยวใกล้เคียงฟันธรรมชาติมาก  คุณหมอต้องใช้เวลาและความประณีตในการทำมาก แถมวัสดุที่ใช้ก็มีราคาสูง ก็ไม่แปลกใจนะว่าทำไมราคาถึงได้แพงกว่าตระกูลฟันปลอมทั้งหมด ราคาเป็นหลักหลายหมื่นเลยทีเดียว อันนี้ต่อซี่นะคะ (เอิ่ม แอบปาดเหงื่อแป๊บ) แต่ถ้าเทียบกับคุณภาพแล้วก็คงต้องบอกว่าสมราคาล่ะค่ะ


รู้จักฟันปลอมแบบต่างๆ กันไปแล้ว ส่วนว่าจะเชื้อเชิญแบบไหนมาไว้ในปากคงไม่ได้ขึ้นกับการตัดสินใจของคนไข้อย่างเดียว ต้องฟังทางคุณหมอแนะนำด้วย อย่าดันทุรังว่าชั้นจะเอาแบบนั้นแบบนี้ ถ้าคุณหมอแนะนำหลายแบบ ถึงตอนนั้นค่อยตัดสินใจเลือกสิ่งที่เหมาะกับตัวคุณ

ถึงจะเป็น “ฟันปลอม” ก็ต้องดูแล

ใส่ฟันปลอมแล้วก็ไม่ใช่ทิ้งๆ ขว้างๆ ไม่ใส่ใจดูแลรักษาหรือทำความสะอาดนะคะ อย่าคิดว่าไม่ใช่ฟันจริง ไม่ผุไม่กร่อน ไม่ต้องดูแลมาก ไม่งั้นปัญหาช่องปากอาจจะตามมาอีกเป็นหางว่าว

กรณีฟันปลอมชนิดถอดได้

-   ต้องระวังเรื่องการตกหล่นเพราะอาจแตกหักได้ เสียตังค์ไม่พอ ยังต้องเสียเวลามาทำใหม่อีก

-   ถอดฟันปลอมออกมาล้างทำความสะอาดด้วยน้ำสะอาด ยาสีฟัน หรือน้ำสบู่อ่อน ทุกวัน เลือกแปรงสีฟันชนิดขนอ่อนนิ่มในการทำความสะอาด ฟันปลอมจะได้ไม่สึกกร่อนเร็ว ขณะทำควรมีภาชนะใส่น้ำรองรับเผื่อพลัดหลุดจากมือด้วยจะได้ไม่ตกแตกหรือตะขอบิดเบี้ยว

-   ฟันธรรมชาติที่เหลืออยู่ยังคงต้องใส่ใจทำความสะอาดเหมือนเดิมค่ะ

-   ควรถอดฟันปลอมก่อนนอนทุกวัน เพื่อให้เนื้อเยื่อใต้ฟันปลอมได้พักบ้าง ถ้าใส่ฟันปลอมกดทับอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง อาจทำให้เนื้อเยื่อเกิดการอักเสบได้


-   แช่ฟันปลอมไว้ในภาชนะบรรจุน้ำสะอาด ที่ต้องแช่น้ำไว้เพราะถ้าทิ้งฟันปลอมให้โดนอากาศจะทำให้ฐานพลาสติกแห้งและบิดงอได้ และห้ามแช่ฟันปลอมในน้ำร้อนเพราะอาจบิดงอได้เช่นกัน

-   ทุกเช้าก่อนสวมฟันปลอมควรแปรงเหงือก ลิ้น และเพดานปากด้วยแปรงสีฟันขนอ่อนนุ่ม เพื่อขจัดคราบจุลินทรีย์และกระตุ้นการไหลเวียนเลือด

-   ถ้าฟันปลอมหลวม หรือแตก หัก บิ่น ควรปรึกษาคุณหมอฟัน อย่าเอากาวซ่อมเอง

     กรณีฟันปลอมชนิดติดแน่น แปรงเหมือนฟันปกติ แต่ให้พิถีพิถันบริเวณคอฟันเป็นพิเศษโดยเฉพาะขอบฟันซี่ที่ครอบด้วยฟันปลอม แนะนำใช้ไหมขัดฟันเพื่อขจัดแผ่นคราบจุลินทรีย์บริเวณซอกฟัน


พบหมอฟันทุก 6 เดือน

ถึงจะเป็นของปลอมแต่ใช่ว่าจะคงทนไปตลอด วันหนึ่งก็ต้องเสื่อม หมดอายุการใช้งาน แตก หัก บิดเบี้ยว หลวมกันบ้างล่ะ แล้วไหนจะปัญหาในช่องปากที่อาจเกิดจากการใส่ฟันปลอมอีกล่ะ เช่น ฟันผุ หรือเหงือกอักเสบจากการที่ฟันปลอมไปถูไปกดเหงือกหรือเนื้อเยื่อในปาก ปัญหาที่หลายคนนึกไม่ถึงอย่างการยุบตัวของสันเหงือกซึ่งต้องแก้ด้วยการเสริมฐานฟันปลอมก็อาจเกิดขึ้นได้ เห็นมั้ยคะไม่ใช่ว่าใส่แล้วจบนะ คนไข้จึงควรไปพบหมอฟันทุก 6 เดือน หรืออย่างน้อยก็ปีละครั้ง

อย่าร้อนใจถ้ายังไม่ชิน

แหงล่ะ...ใส่แรกๆ ก็ต้องไม่ชินเป็นธรรมดา โดยเฉพาะฟันปลอมชนิดถอดได้ อย่างฟันปลอมติดแน่นไม่ค่อยเป็นปัญหาเพราะคล้ายฟันธรรมชาติมาก ยิ่งฟันปลอมรากฟันเทียมนี่เนียนจริง แต่ฟันปลอมชนิดถอดได้ใครใส่แรกๆ ก็มักมีความรู้สึกว่าเทอะทะ หลวมไม่กระชับ ใส่แล้วรู้สึกแปลกๆ บางทีจะกินจะพูดมันไม่ถนัดปาก ก็อย่าเก็บมากังวล เพราะโดยธรรมชาติแล้วกล้ามเนื้อแก้มและลิ้นจะค่อยๆ สร้างความเคยชินในการประคองฟันปลอมเอาไว้อยู่แล้ว ถ้าตัวคนไข้เองค่อยๆ ฝึกค่อยๆ ปรับ เมื่อผ่านไปสักระยะฟันปลอมก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของปากที่ไม่สร้างความหนักใจอีกต่อไปค่ะ
               





ขอบคุณข้อมูล   : http://www.colgate.co.th

ภาพประกอบ      :  http://202.183.204.137/km/?p=2406, http://men.mthai.com

สะอาดทุกซอกหลืบด้วย...ไหมขัดฟัน


ท่องจำกันมาแต่สมัยเด็กล่ะว่า ควรแปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง เช้า และก่อนนอน แต่การแปรงฟันอย่างเดียวบางทีอาจยังทำความสะอาดได้ไม่ดีพอ อย่างบริเวณซอกฟันลึกๆ ที่มีเศษอาหารตกค้างอยู่ พยายามแปรงอย่างประณีตก็แล้ว ปรับองศาข้อมือให้แปรงอย่างครอบคลุมก็แล้ว ยังไม่สามารถซอกซอนขนแปรงเข้าไปได้ทั่วถึง นานวันเข้า อ้าว...ไหงฟันมีคราบหินปูนมาเกาะ หรือไม่ก็มีฟันผุตรงบริเวณซอกฟันตามมาอีก


เมื่อพึ่งการแปรงฟันอย่างเดียวไม่เวิร์ก...
บางคนก็เลยหาตัวช่วยกำจัดเศษอาหารที่ติดอยู่ตามซอกฟัน อย่างง่ายเลยไม่ต้องลงทุนมาก กินอิ่มแล้วเป็นต้องมองหาคือ ไม้จิ้มฟัน แต่ก็ต้องระมัดระวังการใช้ด้วย เพราะการสอดปลายแหลมของไม้จิ้มฟันเข้าไปตรงซอกฟัน ถ้าไม่ระมัดระวังอาจไปทิ่มตำเหงือกได้ น้ำยาบ้วนปาก เป็นอีกหนึ่งวิธีที่บางคนทำหลังแปรงฟัน แต่ถามว่าเป็นการกำจัดเศษอาหารโดยตรงหรือเปล่า...ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะใช้น้ำเปล่าบ้วนปากผลคงไม่ต่างกัน ส่วนใหญ่คนที่ใช้น้ำยาบ้วนปากก็เพื่อให้ช่องปากหอมสะอาด ช่วยลดกลิ่นปาก







อีกวิธีถ้าไม่พูดถึงคงมีเคืองกันบ้างล่ะ นั่นคือการใช้ ไหมขัดฟัน  เพราะช่วยทำความสะอาดฟันได้ทุกซอกมุมจริงๆ บางคนใช้ไหมขัดฟันเป็นประจำ วันไหนแปรงฟันอย่างเดียวไม่ได้ใช้ไหมขัดฟันจะรู้สึกว่าฟันไม่สะอาด เหมือนแปรงฟันแล้วก็ยังมีเศษอาหารติดอยู่





ใช้ไหมขัดฟัน...ดียังไง

ไหมขัดฟันสามารถเข้าไปช่วยทำความสะอาดในบริเวณที่การแปรงฟันเข้าถึงได้ยาก เช่น บริเวณโคนฟันที่อยู่ใกล้เหงือก, ซอกฟัน หรือคนที่มีฟันซ้อนเกยากต่อการแปรงฟันได้ทั่วถึง ซึ่งปกติบริเวณเหล่านี้มักจะมีเศษอาหาร คราบจุลินทรีย์ หรือคราบพลัค (plaque) สะสมอยู่ ถ้าเราใช้แปรงสีฟันขจัดออกไม่หมด ไม่ช้าไม่นานก็อาจจะมีฟันผุ หินปูน เหงือกอักเสบ ตามมาได้ ก็อย่างที่บอกว่าแปรงสีฟันมันมีข้อจำกัดของมันอยู่ ซอกซอนไม่ได้ทุกซอกทุกมุม โอกาสที่จะทำความสะอาดได้หมดจดจึงเป็นไปได้ยาก แต่การใช้ไหมขัดฟันสามารถขัดฟันได้ทุกซอกทุกมุม จึงช่วยลดปัญหาช่องปากลงไปได้มาก อย่างการเกิดฟันผุด้านข้างในคนที่ใช้ไหมขัดฟัน สามารถลดอัตราการเกิดได้ถึง 50% เลยทีเดียว


ไหมขัดฟัน...มีให้เลือกกี่แบบ

ในท้องตลาดมีไหมขัดฟันขายอยู่หลายยี่ห้อ มีทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบขี้ผึ้ง ราคาก็มีหลากหลายเช่นกัน ถูกจริตกับยี่ห้อไหนก็เลือกซื้อเลือกหากันตามสะดวก ยิ่งถ้าไม่กระทบเงินในกระเป๋ามากนักก็ยิ่งแจ๋ว




โดยทั่วไปไหมขัดฟันจะมี 2 แบบ

แบบไนลอน หรือ มัลติฟิลาเมนท์ เป็นไหมขัดฟันที่ทำจากเส้นใยไนลอนบางๆ หลายเส้น สามารถแยกตัวออกจากกันได้ จึงอาจเกิดการฉีกขาดได้ โดยเฉพาะถ้าขัดฟันในบริเวณที่ค่อนข้างแน่น มีทั้งแบบเคลือบและไม่เคลือบขี้ผึ้ง ส่วนใหญ่จะมีสีขาว บางยี่ห้อมีการแต่งกลิ่นและสีเพื่อให้น่าใช้ยิ่งขึ้น เช่น สีเขียวรสมินต์  

แบบ PTFE หรือ โมโนฟิลาเมนท์ เป็นไหมขัดฟันที่ทำจากเส้นใยเส้นเดียว มีความเหนียวกว่าแบบไนลอน สามารถเข้าสู่ซอกฟันเล็ก ๆ ได้ง่าย แต่ราคาค่อนข้างแพง


แบบนี้...ไม่เอ๊า ไม่เอานะ

ปกติไหมขัดฟันยี่ห้อดังๆ ที่ได้ยินโฆษณาทางทีวี สื่อออนไลน์ หรือตามหน้านิตยสารบ่อยๆ  ราคาจะแพงเอาเรื่องอยู่ ซื้อทีแบ็งค์ร้อยปลิวเลยทีเดียว บางคนก็เลยเลี่ยงไปใช้ด้ายเย็บผ้าแทน อย่างนี้เรียกว่าประหยัดไม่ถูกเรื่อง ขอเตือนไว้ตรงนี้เลยค่ะ ด้ายเย็บผ้าไม่ได้ถูกออกแบบมาใช้ในการขัดฟัน เส้นใยย่อยของเส้นด้ายนั้นจะถูกถักเป็นเส้นกลมจึงหยาบและคมกว่าไหมขัดฟันมาก พลาดพลั้งบาดเหงือกแทนที่จะประหยัดเงินกลับต้องเสียเงินรักษาเหงือกรักษาฟันแทน เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่ายนะคะ


ใช้ไหมขัดฟัน...เวลาไหนดีที่สุด

ก่อนแปรงฟันดีที่สุดค่ะ คุณควรทำความสะอาดผิวฟันด้วยไหมขัดฟันก่อนแปรงฟัน เพื่อขจัดเศษอาหาร
และคราบจุลินทรีย์ (plaque) บนผิวฟันออกไปก่อน เมื่อผิวฟันสะอาดดีแล้วค่อยแปรงฟันด้วยยาสีฟันที่มีฟลูออไรด์ ทีนี้ก็ไม่มีอะไรมากีดกันบนผิวฟันล่ะ ฟลูออไรด์ก็จะเข้าไปเคลือบผิวฟันได้ง่ายขึ้น ช่วยให้ฟันแข็งแรง ป้องกันฟันผุได้ดีขึ้น

        ไม่เสียเวลาอะไร...เพียงวันละครั้ง ว่ากันว่าการใช้ไหมขัดฟันเพียงวันละครั้งก็ช่วยลดคราบจุลินทรีย์บนผิวฟันได้แล้วค่ะ ฉะนั้นอย่าขี้เกียจเลย ทำก่อนแปรงฟันให้ติดเป็นนิสัยซะ


ไหมขัดฟัน...ใช้ยังไง

ดึงไหมขัดฟันยาวประมาณ 18 นิ้ว แล้วพันไว้กับนิ้วกลางให้แน่นพอที่จะไม่ลื่นหลุด แต่อย่าให้แน่นไปจนเจ็บนิ้วล่ะ เดี๋ยวจะพาลหมดอารมณ์ขัดฟันซะก่อน ส่วนนิ้วหัวแม่มือกับนิ้วชี้จะใช้จับเส้นไหมโดยเหลือเส้นไหมระหว่างนิ้วมือ 2 ข้างประมาณ 1-2 นิ้ว ไว้สำหรับขัดฟัน


ค่อยๆ สอดเส้นไหมเข้าไประหว่างซี่ฟัน ให้เส้นไหมโอบล้อมฟันคล้ายรูปตัวซี (C) แล้วออกแรงถูเส้นไหมบนผิวฟันในแนวนอน ขัดบริเวณฐานฟันด้วยนะคะ ทำความสะอาดฟันไปทีละซี่จนครบทั่วทั้งปาก ทุกขั้นตอนต้องทำอย่างเบามือ ระวังไม่ให้ไปกระทบกระแทกกับเหงือก ไม่งั้นอาจพลั้งบาดเหงือกหรือทำให้เหงือกบอบช้ำได้

การใช้ไหมขัดฟันควรเลื่อนตำแหน่งไหมขัดฟันจากส่วนที่ใช้แล้วไปยังส่วนที่ยังไม่ได้ใช้เมื่อขัดฟันไปได้สัก 2-3 ซี่ บางทีทำๆอยู่เส้นไหมเกิดฉีกขาดขึ้นมาก็มี ไม่ต้องเซ็งไปเพราะเกิดขึ้นได้บ่อยๆ ก็เลื่อนไปใช้ส่วนที่ยังไม่ได้ใช้ก็จบ

สำหรับการเอาไหมออกจากฟัน มีเทคนิคง่ายๆ แค่เลื่อนไหมไปข้างหน้าและหลังจนกระทั่งไหมออกจากฟัน อ้อ หลังขัดฟันเสร็จอย่าลืมบ้วนปากตามหลายๆ ครั้ง เพื่อกำจัดคราบจุลินทรีย์ออกจากปากด้วยล่ะ


สุดท้ายฝากไว้...

ใช้อย่างเหมาะสม ก็ใช้ตามวิธีที่แนะนำไปข้างต้น ถ้าใช้ผิดวิธี เช่น ดันแรงๆ , ออกแรงกดเส้นไหมบนเหงือก อาจทำให้เหงือกชอกช้ำ เป็นแผล หรือเกิดการอักเสบได้  แต่ถ้าใช้ถูกวิธีแล้วมีเลือดออกมาก เหงือกบวม แดง หรือเจ็บเหงือกมาก ก็อย่าทู่ซี้ดันทุรังใช้ต่อ เรียนเชิญพบหมอฟันด่วน

ใช้แล้วขาด...อาจไม่ปกติ ถ้าคุณใช้ไหมขัดฟันแบบซอฟท์ๆ ไม่ได้กระชากรุนแรงอะไร ไหมขัดฟันไม่ควรจะขาด แต่ถ้าใช้งานแล้วพบว่าติดๆ ขัดๆ หรือขาดบ่อย เป็นไปได้ว่าอาจมีฟันผุ หรือปัญหาบางอย่างซ่อนอยู่ เช่น รอยอุดแตก หรือบิ่น ให้ลองใช้กระจกส่องฟันส่องดู ถ้าเจอปัญหาหรือบางทีไม่แน่ใจ ควรไปพบหมอฟันให้ชัวร์ดีกว่าค่ะ




ขอบคุณภาพประกอบ : http://www.nmd.go.th