วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คุณพ่อคุณแม่ที่ลูกน้อยเป็นออทิสติก...รู้จักไว้นะ HBO

     อยากมีลูกเป็นโซ่ทองคล้องใจ แต่ไม่วายกังวลว่าตอนคลอดลูกจะครบสามสิบสองมั้ย? ถ้าครบก็โล่งอก หลังจากนั้นก็ต้องมาลุ้นอีกว่าโตขึ้นจะปกติหรือเปล่า? หากไม่ปกติอย่างเช่นสังเกตว่าพัฒนาการของลูกเรามันทะแม่งๆ รีบแจ้นพาลูกไปหาหมอ แล้วหมอฟันธงเปรี้ยงว่าลูกเราเป็นออทิสติก โอ๊ย คนเป็นพ่อเป็นแม่แทบจะล้มทั้งยืนกันเลยทีเดียว
   


ออทิสติกเป็นความบกพร่องของพัฒนาการรูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเฉพาะ ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่ทราบต้นสายปลายเหตุของโรคชัดเจน หากเทียบกับสมัยก่อนเดี๋ยวนี้เราได้ยินคำว่า “ออทิสติก” กันบ่อยขึ้น ซึ่งถ้าดูจากสถิติก็ไม่น่าแปลกใจ เพราะปัจจุบันพบว่า ในเด็กทุก 1,000 คน จะพบว่าเป็นออทิสติกถึง 6 คน หรือในเด็กปกติ 150  คน  จะพบ 1 คนที่เป็นออทิสติก และเชื่อว่าจริงๆ แล้วน่าจะมีเยอะกว่านี้ เพราะไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนที่พบว่าลูกมีความผิดปกติแล้วจะพาลูกมาตรวจ


   เมื่อลูกน้อยเป็นออทิสติกแล้วยังไงต่อ พ่อแม่บางคนยังงงๆ ไปไม่ถูก บอกเลยว่าสุภาษิต “ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม” อย่างัดมาใช้เด็ดขาด การรักษาเด็กออทิสติกถ้าเริ่มตั้งแต่ช่วงอายุ 2-3 ขวบ จะรักษาอาการของโรคได้ผลดีกว่าปล่อยจนเด็กอายุมากขึ้น แล้วเลิกคิดไปเลยค่ะว่าโตแล้วเดี๋ยวก็หายเอง อันนี้ไม่จริงเลย ดังนั้นถ้าลูกพัฒนาการแปลกๆ รีบพาไปหาหมอ จะได้วินิจฉัยโรคได้เร็วว่าเป็นหรือไม่เป็นหรือเป็นอย่างอื่น ถ้าเป็นก็จะได้เริ่มรักษากันตั้งแต่อายุน้อย ๆ สำคัญต้องรักษาอย่างต่อเนื่องด้วย ซึ่งความก้าวหน้าในการดูแลรักษาคนไข้ออทิสติกที่พัฒนาขึ้นมากในปัจจุบัน ทำให้คนไข้มีอาการดีขึ้นได้ สามารถเรียนรู้ ปรับตัว ประกอบอาชีพ ใช้ชีวิตอยู่ร่วมในสังคม โดยพึ่งพาผู้อื่นน้อยที่สุดได้

ในการรักษาเด็กออทิสติก จะไม่ใช้แค่วิธีหนึ่งวิธีใดอย่างเดียว ถ้าจะให้ได้ผลดีต้องบูรณาการหลายวิธีเข้าด้วยกัน ตั้งแต่รักษาด้วยยาแผนปัจจุบัน, การฝึกพูด, ฝึกพัฒนาการ, กายภาพบำบัด, การใช้ออกซิเจนภายใต้ความกดบรรยากาศสูง หรือ HBO, การใช้วิตามินบี 12, การขับสารพิษ เป็นต้น ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นวิธีการรักษาที่ช่วยให้แนวโน้มพัฒนาการของเด็กดีขึ้นได้


ความร่วมมือร่วมใจของคนในครอบครัวก็ถือว่าสำคัญมาก อย่าผลักภาระไปให้หมอหรือผู้เชี่ยวชาญอย่างเดียว โดยคนในครอบครัวต้องเข้าใจโรคที่เด็กเป็น มีเวลาให้ พร้อมที่จะนำวิธีการรักษาและคำแนะนำของหมอมาประยุกต์ใช้ที่บ้าน แล้วก็ต้องทำอย่างต่อเนื่องด้วย ถึงจะเหนื่อยแต่ถ้าเห็นพัฒนาการของลูกดีขึ้นก็คุ้มค่ะ


ทีนี้จะขอพูดเฉพาะการรักษาเด็กออทิสติกด้วย HBO ซึ่งทำกันมานานกว่า 10 ปีแล้วในต่างประเทศ ส่วนในประเทศไทยเพิ่งเริ่มต้นนำมาใช้รักษาเมื่อประมาณ 3 ปีนี้เอง
อย่างที่ได้บอกไปในตอนต้นว่าโรคออทิสติกนั้นยังไม่ทราบสาเหตุแน่ชัด แต่จากการศึกษามีหลักฐานสนับสนุนว่าโรคนี้น่าจะเกิดจากการทำงานของสมองผิดปกติมากกว่าเป็นผลมาจากสิ่งแวดล้อม


จากการทำ SPECT Scan หรือเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดพิเศษของสมอง (MRI) ในผู้ป่วยออทิสติกบางรายพบว่า มีเลือดมาเลี้ยงสมองน้อยกว่าปกติ ซึ่งพบได้ในสมองทั้งสองข้าง การที่มีเลือดมาเลี้ยงสมองน้อยลง ปริมาณออกซิเจนที่มาเลี้ยงสมองย่อมน้อยลงไปด้วย ดังนั้นถ้าสามารถเพิ่มออกซิเจนให้แก่ส่วนของสมองที่มีเลือดมาเลี้ยงน้อยลงนี้ได้ ก็ย่อมส่งผลดีแน่นอน ด้วยหลักการง่ายๆ ดังกล่าวจึงได้มีการนำ HBO มาช่วยเพิ่มออกซิเจนให้กับสมองโดยการให้เด็กออทิสติกหายใจเอาออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ภายใต้ความดันสูงเข้าไป เมื่อสมองได้รับออกซิเจนในปริมาณที่สูงขึ้น ก็จะช่วยซ่อมแซมหรือกระตุ้นเซลล์สมองในส่วนที่ไม่ทำงานให้เริ่มทำงานมากขึ้น ส่งผลถึงการรับรู้, การเคลื่อนไหว และการเรียนรู้ได้ และหากทำควบคู่ไปกับการรักษาอื่นๆ ก็จะทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดียิ่งขึ้น

เครื่อง HBO

    การรักษาเด็กออทิสติกด้วย HBO เด็กจะต้องเข้าไปอยู่ในห้องปรับบรรยากาศครั้งละ 1 ชั่วโมง ประมาณ 3-5 ครั้ง/สัปดาห์ ก่อนเข้าเครื่องคุณหมอจะประเมินเด็กก่อนว่าเข้าได้มั้ย เช่น ไม่เป็นไข้ ไม่เป็นหวัด และประเมิน BQ Test (Behavior Quotient Test) ในครั้งแรก และทำ BQ Test หลังการรักษาทุก 40 ครั้ง เพื่อวัดผลการรักษา

การที่เด็กต้องเข้าไปอยู่ในห้องปรับบรรยากาศ ก็ต้องมีพ่อ แม่ พี่เลี้ยง หรือใครก็ตามที่เด็กคุ้นเคยเข้าไปด้วย โดยทั่วไปเด็กออทิสติกจะกลัวสิ่งแปลกใหม่ เขาจะอยู่กับโลกหรือบุคคลที่เขาคุ้นเคยเท่านั้น จะว่าไปก็ไม่ใช่แต่เด็กออทิสติกหรอกค่ะ ต่อให้เป็นเด็กปกติก็คงไม่เอา เมื่อเข้าไปอยู่ในเครื่องแล้วในครั้งแรกเด็กอาจจะขัดขืนไม่ยอมสวมหมวกออกซิเจน ก็ไม่เป็นไร คุณหมอจะไม่ฝืนใจ ทางเจ้าหน้าที่ก็จะปรับความดันในห้องปรับบรรยากาศ ให้เล่นของเล่น มีลูกอมให้ทาน เพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับบรรยากาศในเครื่อง ทำอย่างนี้สัก 2 -3 ครั้ง เด็กก็จะเริ่มวางใจว่าไม่มีอันตราย จากนั้นถึงจะให้เด็กสวมหมวกแล้วให้ออกซิเจนบริสุทธิ์ 100%


คุณพ่อคุณแม่ที่เข้าไปอยู่ในห้องปรับบรรยากาศกับเด็ก ไม่ต้องกังวลว่าจะเป็นผลเสียต่อสุขภาพ สำหรับตัวเด็กเองน่ะได้ประโยชน์เต็มๆ จากออกซิเจนบริสุทธิ์ 100% ผ่านทางหมวกที่สวมอยู่แล้วล่ะ ส่วนคุณพ่อคุณแม่ก็ได้รับออกซิเจนเพิ่มขึ้นด้วยถึงจะไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยเท่าเด็ก เนื่องจากในเครื่องมีการปรับความดันเพิ่มขึ้นจึงช่วยผลักออกซิเจนเข้าสู่ร่างกาย คุณหมอเล่าว่าเคยมีคุณแม่บางท่านบ่นว่าเหนื่อยบ่อย ๆ พอเข้าไปกับลูกบ่อย ๆ บอกอาการเหนื่อยดีขึ้น บางคนที่ปวดศีรษะบ่อย เข้าไปอาการปวดก็ดีขึ้น นับเป็นผลพลอยได้ที่เชื่อว่าหลายคนต้องคาดไม่ถึงเชียวล่ะ!




ขอบคุณข้อมูล & ภาพประกอบ  :  รพ.ยันฮี


ไม่มีความคิดเห็น: